โลกุตตรวิบากจิต หรือ อีกนัยหนึ่งเรียกว่า ผลจิต เป็นจิตที่เป็นผลของ โลกุตตรกุศลจิต เป็นจิตที่พ้นจากโลก เป็นจิตที่ประหาณแล้ว ซึ่งอนุสัยกิเลส เป็นปฏิปัสสัมภณปหาน
คือละได้โดยสงบ
|
|
เมื่อมัคคจิต เกิดขึ้นและดับลงแล้ว ผลจิต ก็จะเกิดติดต่อกันทันทีทันใด โดยไม่มีระหว่างคั่น คือไม่มีจิตใดเกิดขึ้นมาคั่นเลย ดังนั้น จึงเรียก มัคคจิตว่า อกาลิโก เพราะเป็นเหตุให้ผลจิตเกิดขึ้น ในปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอกาลรอเวลาเลย
|
|
ผลจิต ๔ เมื่อกล่าวโดยย่อ
มีจำนวน ๔ ดวง คือ
|
๑.
|
โสดาปัตติผลจิต
|
๒.
|
สกทาคามิผลจิต
|
๓.
|
อนาคามิผลจิต
|
๔.
|
อรหัตตผลจิต
|
|
|
|
|
|
|
|
กิเลสทั้งหมด จะเข้าประกอบ เฉพาะกับอกุศลจิตเท่านั้น ดังนั้น การประหาณกิเลสก็คือ การประหาณอกุศลจิต ทั้ง ๑๒ ดวง
นั้นเอง กิเลสแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ การประหาณกิเลสแต่ละระดับ จะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันดังนี้
|
|
๑. วีติกกมกิเลส
|
คือ
กิเลสอย่างหยาบ ที่แสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจา กิเลสชั้นนี้ระงับไว้ได้ด้วยศีล สงบได้เป็นครั้งคราว ขณะที่ยังมีการรักษาศีลอยู่ การประหาณในลักษณะนี้ เรียกว่า ตทังคปหาน
|
|
๒. ปริยุฏฐานกิเลส
|
คือ
กิเลสอย่างกลาง ที่เกิดอยู่ภายในใจ ไม่ถึงกับแสดงออกมาทางกาย หรือวาจา ตัวเองรู้ได้ ผู้อื่นบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้ กิเลสชนิดนี้สามารถข่มไว้ได้ ด้วยอำนาจของสมาธิ
(อัปปนาสมาธิ) เป็นเวลานานตราบเท่าที่ สมาธิยังไม่เสื่อม การประหาณในลักษณะนี้
เรียกว่า วิกขัมภนปหาน
|
|
๓. อนุสัยกิเลส
|
คือ
กิเลสอย่างละเอียด ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของตนเอง และผู้อื่นก็ไม่สามารถรู้ได้ นอกจากพระพุทธองค์เท่านั้น ต้องประหาณด้วยปัญญา ในมัคคจิตทั้ง ๔ อันเป็นการประหาณได้
โดยสิ้นเชื้อ และจะไม่กลับมีขึ้นอีก การประหาณในลักษณะนี้ เรียกว่า สมุจเฉทปหาน
|
|
โสดาปัตติมัคคจิต
|
ประหาณโลภมูลจิต ที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิต
ที่ประกอบด้วยความสงสัย
|
สกทาคามิมัคคจิต
|
ประหาณกิเลสที่เหลือ ให้มีกำลังเบาบางลง
|
อนาคามิมัคคจิต
|
ประหาณโทสมูลจิตทั้ง ๒ ดวง
|
อรหัตตมัคคจิต
|
ประหาณโลภมูลจิต ที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และ
โมหมูลจิตที่ประกอบด้วย ความฟุ้งซ่าน ๑ ดวง
|
|
|
|
|
|
|
๑. เมื่อโสดาปัตติมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด โสดาปัตติผลจิต ก็เกิดขึ้นกับบุคคลนั้นขึ้นมาทันที ชื่อว่าเป็น โสดาบันบุคคล หรือ เสขบุคคล
|
โสดาบันบุคคล หรือ เสขบุคคล
คือบุคคลที่จะต้องศึกษา เพียรพยายามประหาณกิเลส ส่วนที่เหลือต่อไปอีก ซึ่งต้องใช้เวลาอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จึงจะประหาณกิเลสได้หมด
แล้วจึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
|
โสดาบันบุคคล มี ๓ ประเภท คือ
|
๑) เอกพีชีโสดาบัน
|
คือ โสดาบันที่จะเกิดอีกชาติเดียว ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์
เพราะมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว
|
๒) โกลังโกลโสดาบัน
|
คือ โสดาบันที่จะต้องเกิดอีก ๒ – ๖ ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์
เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์ไม่แก่กล้านัก คือปานกลาง
|
๓)
สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน
|
คือ โสดาบันจะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน
|
|
|
|
เหตุที่พระโสดาบัน ต้องแบ่งเป็น ๓ ประเภท
|
เนื่องจากการอบรมอินทรีย์ ๕ คือ สัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มาไม่เท่ากัน คือ อย่างแรงกล้า ปานกลาง และอย่างอ่อน อย่างไรก็ดี พระโสดาบันทั้ง ๓ ประเภทนี้ จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ชื่อว่าได้ปิดประตูอบาย ได้อย่างแน่นอน
แต่จะไปเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง แต่ก็ยังมีพระโสดาบัน อีกประเภทหนึ่ง ที่มีอัธยาศัยยินดีพอใจ ในการท่องเที่ยวไปในวัฏฏะจนครบ ๗ ชาติ
เรียกว่า วัฏฏภิรตโสดาบัน จะไปเกิดในเทวโลกทั้ง ๖ ตลอดจนอกนิฏฐพรหม เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขามหาอุบาสิกา
ท้าวสักกเทวราช เป็นต้น
|
|
๒. เมื่อสกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด สกทาคามิผลจิตย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ทำให้สำเร็จเป็น พระสกทาคามีบุคคล
|
สามารถเข้าเสวยวิมุตติสุข (ความสุขที่เกิดจาก ผลของการประหาณกิเลส ของสกทาคามิมัคคจิต) ขณะเข้าผลสมาบัติได้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในมนุษยโลก อีกเพียงครั้งเดียว
และสำเร็จเป็นพระอรหันต์
|
|
พระสกทาคามีบุคคล มี ๕ ประเภทด้วยกัน คือ
|
๑.
|
ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก
แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
|
๒.
|
ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก
แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
|
๓.
|
ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก ไปเกิดบนเทวโลก
แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
|
๔.
|
ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก มาเกิดในมนุษยโลก
แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
|
๕.
|
ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก ไปเกิดบนเทวโลก
แล้วกลับมาเกิดในมนุษยโลก อีกครั้งหนึ่งทำความเพียรแล้วบรรลุพระอรหันต์
|
|
|
|
๓. เมื่อพระอนาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด
อนาคามิผลจิตย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นทันที สำเร็จเป็น พระอนาคามีบุคคล
|
ซึ่งจะไม่มาเกิดใหม่ในมนุษยโลกอีก
จะไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ ๕ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา หรือจะไปเกิดในรูปภูมิ ๑๐ ที่นอกจากสุทธาวาส ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑ และอรูปภูมิ ๔
|
พระอนาคามีบุคคล มี ๕ ประเภทด้วยกัน คือ
|
๑.
|
พระอนาคามี ที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ แล้วนิพพานในกึ่งแรกของอายุในภูมินั้น
|
๒.
|
พระอนาคามี ที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ แล้วนิพพานในกึ่งหลังของอายุในภูมินั้น
|
๓.
|
พระอนาคามี ที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ โดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากแล้วนิพพาน
|
๔.
|
พระอนาคามี ที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ ต้องใช้ความเพียรมากแล้วนิพพาน
|
๕.
|
พระอนาคามี เกิดในสุทธาวาสตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๕ ตามลำดับ แล้วเข้านิพพาน ในชั้นที่ ๕ นั้น
|
|
|
|
๔. เมื่ออรหัตตมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด
อรหัตตผลจิต ก็จะบังเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นทันที เป็น พระอรหันต์
|
ซึ่งเป็นการประหาณกิเลสขั้นสุดท้าย
คือโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิต ที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน ๑ ดวง เป็นการประหาณอกุศลจิต ๑๒ ครบถ้วน อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง ก็จะหมดไปโดยสิ้นเชิง
ด้วยเพราะไม่มีที่จะอาศัยเกิด (อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง จะประกอบกับอกุศลมูลจิต ๑๒ ดวง เท่านั้น)
|
|
|
พระอรหันต์
มีเรียกได้หลายชื่อตามลักษณะและความหมายต่าง ๆ ดังนี้
|
พระอรหันต์ ๓
ประเภท (แบ่งตามลักษณะการประหาณกิเลส)
|
๑. พระอรหันต์
|
หมายถึง
|
ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส
|
๒. พระขีณาสพ
|
หมายถึง
|
ผู้สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส
|
๓. อเสขบุคคล
|
หมายถึง
|
ผู้ไม่ต้องศึกษา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ต่อไปอีก
|
|
|
|
พระอรหันต์
๒ประเภท (แบ่งตามลักษณะของการหลุดพ้นจากอาสวกิเลส)
|
๑. ปัญญาวิมุตติ
|
หมายถึง
|
ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โดยการเจริญวิปัสสนา
|
๒. เจโตวิมุตติ
|
หมายถึง
|
ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โดยการเจริญสมถและวิปัสสนา
|
|
|
|
พระอรหันต์ ๓
ประเภท (แบ่งตามลักษณะระยะเวลาการสร้างบารมี)
|
๑. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
|
ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
|
โดยการตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
|
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
|
ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
|
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
แต่สอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่ได้
|
๓. พระอรหันตสาวก
|
ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยทั่วไป
|
พระอรหันต์โดยทั่วไป
แบ่งตามความสามารถออกได้อีก ๓ ประเภท คือ
|
ก.
ปกติสาวก
|
หมายถึง
|
พระสาวก
หรือพระอรหันต์ทั่วไป
|
ข.
มหาสาวก
|
หมายถึง
|
พระสาวกผู้ใหญ่ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ๘๐ รูป
ส่วนมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะ (ความเป็นเลิศ)
|
ค.
อัคคสาวก
|
หมายถึง
|
พระโมคคัลลาน์
ซึ่งเป็นอัคคสาวกเบื้องซ้าย และ พระสารีบุตร พระอัคคสาวกเบื้องขวา ซึ่งจะเห็นในโบสถ์ที่ยืนอยู่ด้านซ้าย
และขวาของพระประธาน
|
|
|
|
|
|
|
|
พระอรหันต์ ๓
ประเภท (แบ่งตามลักษณะปัญญาที่รู้พิเศษ)
|
๑. พระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔
คือ
|
๑) อัตถปฏิสัมภิทาญาณ
|
ปัญญาที่แตกฉานรู้ในผลทั้งปวงที่มาจากเหตุ
|
๒) ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ
|
ปัญญาที่แตกฉานรู้ในเหตุทั้งปวงที่มาจากผล
|
๓) นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ
|
ปัญญาที่แตกฉานรู้ที่มาของผลและเหตุทั้งปวง
|
๔) ปฏิภานปฏิสัมภิทาญาณ
|
ปัญญาที่แตกฉานในธรรม ๓ ประการข้างต้น มีความคล่องแคล่ว ว่องไว
เฉียบแหลมคมคาย
|
๒. พระอรหันต์ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔
ดังกล่าวข้างต้น
|
|
|
|
อภิญญา ๓ อภิญญา ๖ (วิชา ๓ วิชา
๖)
|
อภิญญา ๖ คือ
|
๑)
|
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
|
ระลึกชาติได้
|
๒)
|
ทิพพจักขุญาณ หรือ
จุตูปปาตญาณ
|
ตาทิพย์และรู้ว่าตายแล้วไปเกิดที่ไหน
|
๓)
|
อาสวักขยญาณ
|
รู้วิธีทำกิเลสให้หมดไป
|
๔)
|
ปริจิตตวิชานน หรือ
เจโตปริยญาณ
|
รู้จิตใจผู้อื่น
|
๕)
|
ทิพพโสตญาณ
|
หูทิพย์
|
๖)
|
อิทธิวิธิ
|
แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
|
|
|