<<<<               >>>>

หลักสูตร เรียนพระอภิธรรมทางอินเตอร์เนต

 

ตอนที่ ๗ (ชุดที่ ๑) เรื่อง กฎแห่งกรรม

            กฎแห่งกรรม เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือสภาวธรรมที่ละเอียดอ่อนมาก เหมือนกลุ่มด้ายกลุ่ม ใหญ่ที่หาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้ ในเรื่องของกฎแห่งกรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ว่า ชีวิตของคนเราเป็นมาอย่างไร ในอดีตเราทำกรรมกันมาไว้อย่างไรบ้าง เมื่อตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน จะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราจะหาคำตอบได้ในบทเรียนทางไปรษณีย์ชุดนี้
 
          ผู้ที่จะพ้นบ่วงแห่งกรรมได้ ก็คือผู้ที่ตัดกิเลสได้โดยเด็ดขาด บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ เทวดา หรือ พรหม ต้องอยู่ภายใต้กฎของกรรมทั้งสิ้น
 
          ปัจจุบัน คนเราเกิดมาจะประสบกับความทุกข์ ความผิดหวัง ความไม่สมหวัง ความเศร้าใจเสียใจ หรือเกิดมาสวย ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง มียศฐาบรรดาศักดิ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับ กรรมเก่า คือ บุญบาปที่เราทำมา พร้อมกันนั้นเราก็ทำ กรรมใหม่ ที่เป็นบาปบ้าง เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ หรือที่เป็นบุญกุศลบ้าง เช่น การทำทาน การสร้างโบสถ์สร้างวิหารศาลาการเปรียญ การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ การเจริญสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน ในวันโกนวันพระ ไปพร้อม ๆ กันด้วย
 
          เมื่อได้กระทำทั้งบุญและบาปในชาตินี้ ชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป เราจะต้องได้รับผลของบุญ และผลของบาป ที่ได้ทำไว้นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า “ หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น เมื่อหว่านเมล็ดข้าวก็จะได้ข้าว หว่านเมล็ดงาก็จะได้งา เมื่อทำบุญทำความดี ก็ต้องได้รับความสุขความเจริญ ถ้าทำบาปอกุศล ก็จะได้รับความทุกข์ความผิดหวังเป็นสิ่งตอบแทน
          
          คำว่า กรรม หมายถึง การกระทำ อันได้แก่ เจตนาเจตสิก ที่ประกอบในอกุศลจิต ๑๒ และโลกียกุศลจิต ๑๗ (มหากุศลจิต ๘ รูปาวจรกุศลจิต ๕ และอรูปาวจรกุศลจิต ๔)
          
ลักษณะการทำ กรรม ของบุคคล นั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. อกุศลกรรม คือ การทำบาป
๒. กามาวจรกุศลกรรม คือ การทำบุญ
๓. รูปาวจรกุศลกรรม คือ การทำรูปฌาน
๔. อรูปาวจรกุศลกรรม คือ การทำอรูปฌาน

อกุศลกรรม

อกุศลกรรม ได้แก่ การทำบาป ๓ ทาง คือ
๑. ทางกาย เรียกว่า กายกรรม
๒. ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม
๓. ทางใจ เรียกว่า มโนกรรม
 
         ตามธรรมดาคนเรานั้น จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ต้องมีความตั้งใจเกิดขึ้นก่อน ด้วยเหตุนี้เอง การกระทำต่าง ๆ ทั้งหลายนั้น จึงมี ความตั้งใจ ซึ่งเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เจตนา (เจตสิก) เป็นผู้นำอยู่เสมอ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เจตนานี้แหละ ชื่อว่า กรรม
 
         ถ้า เจตนา ประกอบใน กุศลจิต ก็เป็นการตั้งใจที่จะทำความดี มีการทำทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา
 
         ถ้า เจตนา ประกอบใน อกุศลจิต ก็เป็นการตั้งใจในการทำความชั่ว มี อกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น
อกุศลกรรมบท ๑๐
๑. ปาณาติบาต
คือ การ
ฆ่าสัตว์  
๒. อทินนาทาน
คือ การ
ลักทรัพย์ เรียกว่า อกุศลกายกรรม ๓
๓. กามเมสุมิจฉาจาร
คือ การ
ผิดในกาม  
๔. มุสาวาท
คือ การ
การพูดเท็จ เรียกว่า อกุศลวจีกรรม ๔
๕. ปิสุณวาจา
คือ การ
พูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา
คือ การ
พูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปะ
คือ การ
พูดเพ้อเจ้อ
๘. อภิชฌา
คือ การ
เพ่งเล็งทรัพย์ผผู้อื่น  
๙. พยาบาท
คือ การ
การปองร้าย เรียกว่า อกุศลมโนกรรม ๓
๑๐. มิจฉาทิฎฐิ
คือ การ
ความเห็นผิด  
 
         อกุศลกรรม คือ การทำบาปคนเราเกิดมาได้ทำทั้งบุญและบาปควบคู่กันไป
ถ้าทำบุญมากกว่าทำบาป ชีวิตในภพใหม่ชาติใหม่ก็มีความสุข เพราะบุญให้ผลเป็นความสุข
ถ้าทำบาปมากกว่าบุญ ชีวิตในภพใหม่ชาติใหม่ ก็จะประสบแต่ความทุกข์ เพราะบาปให้ผลเป็นความทุกข์ หรือได้รับความทุกข์มากกว่าความสุข สังเกตดูชีวิตของเราเอง ก็พอจะรู้ได้ว่าในอดีตนั้น เราได้ทำบุญหรือทำบาปไว้ อย่างไหนมากกว่ากัน
 
         เรามาศึกษาในเรื่องของ อกุศลกรรม ก่อน เพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของบาป เรื่องของกิเลสเป็นเรื่องใหญ่ เป็นต้นเหตุที่มาแห่งความทุกข์ทั้งปวง เหมือนมะเร็งร้ายที่สามารถจะทำลายชีวิตได้ทุกเมื่อ
 
          การทำบาป ทำได้ ๓ ทาง คือ
๑. การทำบาปทางกาย
 
          การทำบาปทางกาย เรียกว่า กายทุจริต เป็นการทำที่ไม่ดีไม่งามทางกาย ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ต้องรับผลของบาปที่ได้กระทำลงไป
 
การทำบาปทางกาย ทำได้ ๓ อย่าง คือ
๑. การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. การลักทรัพย์
๓. การประพฤติผิดในกาม
          
๑. การฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต)        
การฆ่าสัตว์ คือ การฆ่าสิ่งที่มีชีวิตให้ตายไปก่อนที่จะหมดอายุ จะเป็นการฆ่าด้วยตนเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าโดยใช้อาวุธใช้เครื่องประหาร ใช้คาถา อาคมไสยศาสตร์ หรือใช้ฤทธิ์
 
องค์ประกอบของอกุศลกรรมบถ ในการฆ่าสัตว์มี ๕ ประการ คือ
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามฆ่า
๕. สัตว์นั้นตายลงเพราะความพยายามนั้น
 
          การทำบาปที่เข้าลักษณะ ๕ ประการ ชื่อว่า เป็นการทำบาปที่ครบองค์แห่งปาณาติบาต จะเป็นสัตว์ที่เป็นอาหาร หรือ สัตว์ที่ไม่เป็นอาหาร เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็ตาม ล้วนเป็นบาปทั้งสิ้น เมื่อใกล้จะตายถ้าคิดถึงบาปที่เคยฆ่าสัตว์ไว้ บาปนั้นก็สามารถนำให้ไปเกิดใน อบายภูมิ ได้
 
          บาปมาก – บาปน้อย การฆ่าสัตว์ จะบาปมาก หรือ บาปน้อย นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ความพยายามในการฆ่า ถ้าใช้ความพยายามมากก็บาปมาก ใช้ความพยายามน้อยก็บาปน้อย ฆ่า สัตว์มีคุณมาก ก็บาปมาก เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ถ้าฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็บาปน้อย ฆ่าสัตว์ตัวใหญ่บาปมาก ฆ่าสัตว์ตัวเล็กก็บาปน้อย ถ้าฆ่าคนที่มีคุณธรรมมาก บาปมาก ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้อย ก็บาปน้อยตามลำดับ
          
          
แสดงผลของปาณาติบาต
บาปมาก
๑. ฆ่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น
ช้าง ม้า วัว ควาย
๒. ฆ่าผู้มีคุณธรรมมาก เช่น พระสงฆ์ บิดามารดา
๓. ใช้ความพยายามในการฆ่ามาก
บาปมาก
๑. ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ลิ้น ไร
   
๒. ฆ่าผู้ไม่มีคุณธรรม เช่น โจร ผู้ร้าย
   
๓. ใช้ความพยายาม ในการฆ่าน้อย
          
ความพยายามในการฆ่า ทำได้ ๖ ประการ คือ
๑. ฆ่าด้วยตนเอง
๒. ใช้คนอื่นฆ่า
๓. ปล่อยอาวุธ ขว้าง ปา
๔. ใช้อาวุธปืน มีด ขุดหลุมพราง
๕. ใช้อาคมคุณไสยศาสตร์
๖. ใช้ฤทธิ์
 
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ แล้วนั้น จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผล ของการทำบาป คือการฆ่าสัตว์ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่า การให้ผลในปฏิสนธิกาล จะได้รับความทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อชดใช้กรรม
 
การทำบาปที่ไม่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ บาปนั้น
จะตามให้ผลใน ปวัตติกาล คือขณะมีชีวิตอยู่ จะทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม ได้ประสบพบเห็นหรือได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อายุสั้น ถูกฆ่า หรือ ฆ่าตัวตาย รูปไม่งาม ไม่มีบริวาร เป็นต้น
 
๒. การลักทรัพย์ (อทินนาทาน)
การลักทรัพย์ คือ การยึดเอาหรือหยิบเอาวัตถุสิ่งของ ที่เจ้าของมิได้อนุญาต ในลักษณะของการลักขโมย จี้ ปล้น วิ่งราว ข่มขู่ ยักยอก ฉ้อโกง หรือ สับเปลี่ยน เป็นต้น
 
องค์ประกอบของการลักทรัพย์ มี ๕ ประการ คือ
๑. วัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ
๒. รู้ว่าวัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ
๓. มีจิตคิดจะลักทรัพย์
๔. เพียรพยายามเพื่อลักทรัพย์
๕. ได้สิ่งของที่พยายามลักนั้นมา
 
ความพยายามในการลักทรัพย์ ทำได้ ๖ ประการ คือ
๑. ลักทรัพย์ด้วยตนเอง
๒. ใช้ผู้อื่นลักทรัพย์ด้วยวาจา หรือเขียนเป็นหนังสือ
๓. ทิ้งหรือโยนทรัพย์ออกไปนอกเขตเพื่อให้พวกเดียวกันรับต่อ
๔. สั่งพรรคพวกเมื่อมีโอกาสให้พยายามลักทรัพย์นั้นมา
๕. ใช้เวทย์มนต์คาถาทำให้หลงใหลแล้วลักทรัพย์
๖. ใช้ฤทธิ์ในการลักทรัพย์
 
การลักทรัพย์ หรือ การขโมยทรัพย์
จะเป็นการกระทำด้วยตนเอง หรือบอกให้ผู้อื่นทำ หรือโยนทรัพย์นั้นให้ผู้อื่นรับช่วงไป ใช้เวทมนต์คาถา หรือใช้ฤทธิ์ ก็ถือว่าเป็นการลักขโมยทั้งสิ้น
 
ผลของบาป
การทำบาปเมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ จัดเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ เมื่อสิ้นชีวิต
 
เมื่อพ้นจากอบายภูมิแล้ว
ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เศษกรรมนี้ก็จะส่งผลให้เป็นคนยากจน มีทรัพย์สิน ก็จะพินาศจากโจรปล้น น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุพัดพังพินาศ ถูกทางการริบทรัพย์ และ ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติในลักษณะอื่น ๆ เหมือนที่ตนได้ทำไว้ ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ดี และสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่า การให้ผลในปวัตติกาล คือ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
 
การลักขโมยทรัพย์สิ่งของจะบาปมาก หรือ บาปน้อย (โทษมาก-โทษน้อย)
ขึ้นอยู่กับราคาของทรัพย์และ เจ้าของทรัพย์ ถ้าเป็นของที่มีราคาแพง และเจ้าของเป็นผู้มีคุณธรรมมีศีลธรรม ก็ย่อมจะมีบาปมากโทษมาก ถ้าเป็นของที่มีราคาถูก และเจ้าของทรัพย์ไม่มีคุณธรรม หรือศีลธรรมก็ย่อมมีบาปน้อย โทษน้อย
 
 
๓. การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
การประพฤติผิดในกาม ได้แก่ การประพฤติล่วงใน บุตร ภรรยา สามี ของบุคคลอื่น ทำให้เขาได้รับความทุกข์ใจ เดือดร้อนใจ เศร้าใจเสียใจ ผิดหวัง เพราะการกระทำของเรา ถ้าเป็นการกระทำที่เข้า ลักษณะ ๔ ประการ เรียกว่า กระทำผิดครบองค์ประกอบของการประพฤติผิดในกาม
จะมีโทษหนัก
 
องค์ประกอบของการประพฤติผิดในกาม ๔ ประการ คือ
 
๑. มีวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง
๒. มีจิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. มีความพยายามในการเสพเมถุน
๔. มีความพอใจในการเสพเมถุนซึ่งกันและกัน
 
การล่วงละเมิดทางกาเมสุมิจฉาจาร
ที่มีบาปมาก – บาปน้อย
 
          การจะมีบาปมาก หรือมีบาปน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับ คุณธรรมและความสมัครใจ ของผู้ล่วงเกินและผู้ถูกล่วงเกินด้วย
 
 
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๔ ประการนี้ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ เมื่อสื้นชีวิตลงสามารถจะนำเกิดในอบายภูมิคือ นรก เปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉาน ได้ เรียกว่า เป็นการให้ผลใน ปฏิสนธิกาล (นำเกิด)
 
การทำบาปที่ไม่ครบองค์ประกอบทั้ง ๔
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เพราะบุญเก่านำเกิด บาปก็ยังตามให้ผลทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับและพิจารณา แต่อารมณ์ที่ไม่ดีไม่งาม จะทำให้เกิดเป็นหญิง เป็นกะเทย มีผู้เกลียดชังมาก มีคนคิดที่จะปองร้ายจะได้รับความอับอายเสมอ ครอบครัวล่มสลาย เกิดการหย่าล้างกัน พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก มีผู้ปองร้าย นานานับประการ เรียกว่า การให้ผลใน ปวัตติกาล (ภายหลังนำเกิด)
 
สำหรับการดื่มสุราเมรัย
จัดอนุโลมเข้าในกาเมสุมิจฉาจารและอกุศลกรรมบถด้วย เพราะถือว่าการดื่มสุรานั้นเป็นการ ติดในรสสัมผัสทางลิ้น คือ พอใจในรสของสุรานั่นเอง
 
เมื่อจะกล่าวถึงโทษของการดื่มสุราเมรัยนั้น มีมากมาย
เพราะเมื่อขาดสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ย่อมจะทำบาปที่เป็นอกุศลกรรมได้ทุกอย่าง อันจะนำไปสู่อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน ถ้าบุญเก่านำเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนปัญญาอ่อน หรือเป็นคนบ้า
 
๒. การทำบาปทางวาจา
          
          การทำบาปทางวาจา อกุศลกรรมที่เกิดทางวาจา ชื่อว่า วจีกรรม หรือ วจีทุจริต เป็นการกระทำความไม่ดีไม่งามทางวาจา ทำความเดือดเนื้อร้อนใจ ให้กับผู้อื่นและกับตนเอง ความทุกข์ก็จะติดตามมาเป็นเงาตามตัว การทำบาปทางวาจาทำได้ ๔ อย่าง คือ
          
๑. การพูดเท็จ (มุสาวาท)
          การพูดเท็จ ได้แก่ การพูดที่ไม่จริง มีเจตนาทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน จากความจริง จะเป็นการพูดด้วยตนเอง หรือ ใช้ให้ผู้อื่นพูด เขียนเรื่องราว เขียนจดหมาย เขียนบัตรสนเท่ห์ หรือประกาศทางวิทยุ
          
องค์ประกอบของการพูดเท็จ มี ๔ ประการ คือ
๑. สิ่งของหรือเรื่องราวที่ไม่จริง
๒. มีจิตคิดจะพูดเรื่องไม่จริง
๓. พยายามที่จะพูดไม่จริง
๔. เมื่อพูดแล้วมีคนเชื่อคำพูดนั้น
          
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบ ๔ ประการ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผลอสุรกายหรือเดรัจฉาน เรียกว่าบาปนั้นให้ผลใน ปฏิสนธิกาล (นำเกิด)
          
ถ้าขณะที่กำลังจะสิ้นชีวิต นึกถึงบุญ
บุญนั้นจะนำเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ผลของบาปที่ทำไว้นี้ก็จะตาม มาให้ผลอีก ทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์และ พิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม เกิดมาทำให้ พูดไม่ชัด ฟันไม่เรียบ ปากมี กลิ่นเหม็น ไอตัวร้อน ตาส่อน พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางไม่สง่างาม จิตใจรวนเร กลิ่นเหม็น ไอตัวร้อน ตาส่อน พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางไม่สง่างาม จิตใจรวนเร
          
๒. การพูดส่อเสียด (ปิสุณวาจา)
          การพูดส่อเสียด ได้แก่ การพูดที่ทำให้เขาแตกแยกกัน เป็นการพูดทำลายความ สามัคคีในหมู่คณะ ทำให้คนที่รักกันต้องเลิกล้างจากกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยหวัง ผลประโยชน์ของตน ถ้าผู้แตกแยกนั้นเป็นบุคคลที่มีศีลธรรมจะบาปมาก เช่น การพูดยุยงให้สงฆ์แตกแยกกันไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน เป็นต้น
          
องค์ประกอบของการพูดส่อเสียดมี ๔ ประการ คือ
๑. มีผู้ทำให้ถูกแตกแยก
๒. มีเจตนามุ่งให้แตกแยก
๓. เพียรพยายามให้เขาแตกแยก
๔. เขาได้แตกแยกกันสมใจคิด
          
ผลของบาป
          การทำบาปที่ครบองค์ประกอบ ๔ ประการ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผลของการทำบาป คือพูดส่อเสียดนั้นส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตลงจะไปเกิดใน อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉาน เรียกว่า บาปให้ผลใน ปฏิสนธิกาล (นำเกิด)
          
ถ้าขณะที่กำลังจะสิ้นชีวิต นึกถึงบุญ
บุญนั้นจะนำเกิดมาเป็นมนุษย์ ผลของบาปที่ทำไว้นี้ก็จะตาม มาให้ผลอีกทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณา อารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม แตกแยกจากมิตรสหาย ถูกบัณฑิตติเตียน มักถูกกล่าวหาโดยที่ไม่เป็นจริง จะเป็นผู้ตำหนิตนเองอยู่เสมอ ๆ เรียกว่า บาปให้ผลใน ปวัตติกาล
          
๓. การพูดคำหยาบ (ผรุสวาจา)
          การพูดคำหยาบ ได้แก่ การด่าทอและการสาปแช่งต่าง ๆ ทำให้ผู้ที่ถูกด่า เกิดความเศร้าใจเสียใจเดือดร้อนใจ เป็นการกระทำที่เกิดมาจากอำนาจของความโกรธความไม่พอใจ
          
องค์ประกอบของการพูดคำหยาบ มี ๓ ประการ คือ
๑. มีความโกรธ
๒. มีผู้ถูกด่า
๓. มีการพูดกล่าววาจาสาบแช่งหรือด่าทอ
          
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการนี้ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผลของการทำบาป คือ การพูดคำหยาบส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตสามารถนำเกิดใน อบายภูมิคือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ เดรัจฉาน เรียกว่า ให้ผลใน ปฏิสนธิกาล (นำเกิด)
          
ถ้าบุญเก่านำเกิด เป็นมนุษย์
ทำให้ ได้เห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม จะได้ยินได้ฟังแต่คำพูดที่ไม่ไพเราะไม่น่าพอใจ มีกายวาจาหยาบตายด้วยการหลงลืมสติ แม้มีทรัพย์สินก็จะพินาศ เรียกว่า การให้ผลใน ปวัตติกาล(หลังนำเกิด)
          
ในกรณีที่บิดามารดา ครูอาจารย์
ดุด่าบุตรหลานหรือศิษย์ ก็เข้าในหลัก ๓ ประการเช่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่ามีโทษน้อย เพราะไม่มีเจตนาร้ายแรงแต่อย่างใด แต่ถ้าบุคคลใดด่าว่าผู้มีอุปการะคุณ เช่น บิดามารดา ผู้มีอุปการะคุณอื่น ๆ หรือผู้มีศีล เช่น พระภิกษุสงฆ์ สามเณร หรือแม่ชี จะมีบาปมากมีโทษมาก
          
๔. การพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ)
          การพูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ การพูดที่เหลวไหลไร้สาระถือว่าเป็นการพูดที่ทำลาย ประโยชน์ และความสุขของผู้ฟัง ที่จะต้องมาฟังคำพูด ที่ไม่มีสาระแก่นสารอะไร เช่นนี้ เช่น การพูดของนักร้อง นักแสดง นักประพันธ์ ที่ไม่มีคติธรรมอะไร สอดแทรกไว้
          
องค์ประกอบของการพูดเพ้อเจ้อ มี ๒ ประการ คือ
  ๑. เจตนากล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์
๒. กล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์
          
          มาทำความเข้าใจในเรื่องราวของการกล่าวสัมผัปปลาปะ ซึ่งเป็นวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์เรียกว่า การกล่าว เดรัจฉานกถา คือ คำกล่าวที่ขัดขวางต่อ มรรค ผล นิพพาน ท่านแสดงไว้ มี ๓๒ ประการ
          
เดรัจฉานกถา ๓๒ ประการ
๑. พูดเรื่อง พระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์
๒. พูดเรื่อง โจร
๓. พูดเรื่อง ราชการ การเมือง
๔. พูดเรื่อง ทหาร ตำรวจ
๕. พูดถึง ภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
๖. พูดเรื่อง อาวุธยุทโธปกรณ์
๗. พูดเรื่อง อาหารการกิน
๘. พูดเรื่อง เครื่องดื่ม สุราเมรัย
๙. พูดเรื่อง การแต่งตัว เสื้อผ้าอาภรณ์
๑๐. พูดถึงเรื่อง การหลับนอน
๑๑. พูดเรื่อง ดอกไม้ การจัดประดับดอกไม้
๑๒. พูดเรื่อง กลิ่นหอมต่าง ๆ
๑๓. พูดถึงเรื่อง วงศาคณาญาติ
๑๔. พูดเรื่อง รถ เรือ ยานพาหนะต่างๆ
๑๕. พูดถึงเรื่อง หมู่บ้าน ร้านค้าต่างๆ
๑๖. พูดเรื่อง นิคมต่าง ๆ (หมู่บ้านใหญ่,เมืองขนาดเล็ก)
๑๗. พูดถึงเรื่อง เมืองหลวง จังหวัด
๑๘. พูดถึง ชนบท
๑๙. พูดเรื่อง ผู้หญิง
๒๐. พูดเรื่อง ผู้ชาย
๒๑. พูดเรื่อง หญิงสาว
๒๒. พูดเรื่อง ชายหนุ่ม
๒๓. พูดเรื่อง วีรบุรุษ ความกล้าหาญ
๒๔. พูดเรื่อง ถนนหนทาง
๒๕. พูดเรื่อง ท่าน้ำ แหล่งน้ำ
๒๖. พูดถึง ญาติ คนตายที่ล่วงลับไปแล้ว
๒๗. พูดเรื่อง ต่าง ๆ นานา
๒๘. พูดเรื่อง โลกและผู้สร้างโลก
๒๙. พูดเรื่อง มหาสมุทร และการสร้างมหาสมุทร
๓๐. พูดเรื่องความเจริญ และความเสื่อมต่างๆ
๓๑. พูดเรื่อง ป่าต่าง ๆ
๓๒. พูดเรื่อง ภูเขาต่าง ๆ
          
          ท่านได้แสดงไว้ในสฬายตนสังยุตตพระบาลี ความว่า แม้พระภิกษุ ๒ รูปได้มาพบกัน การงานที่ควรประพฤติมีเพียง ๒ ประการเท่านั้น คือ
๑. กล่าวคำเกี่ยวกับธรรมะ
๒. นิ่งเสีย (ถ้าไม่กล่าวธรรมะ) นักศึกษาจะเห็นได้ว่าในการรักษาศีลข้อนี้ทำได้ยาก นอกจากในขณะที่เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่
          
ผลของบาป
ถ้าได้กล่าวคำเพ้อเจ้อครบองค์ประกอบ ๒ ประการ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ เมื่อสิ้นชีวิตจะสามารถนำเกิดใน อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ เดรัจฉาน ได้ เรียกว่า บาปให้ผลใน ปฏิสนธิกาล (นำเกิด)
 
ถ้าตอนสิ้นชีวิตนึกถึงบุญ
บุญนำเกิดมาเป็นมนุษย์ ผลของบาปที่ทำไว้นี้ก็จะตามมาให้ผลอีก ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ที่ไม่ดีไม่งาม จะได้ยินได้ฟังแต่คำพูดที่ไม่ไพเราะไม่น่าพอใจ จะเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเชื่อถือในคำพูด ไม่มีอำนาจ หรือ วิกลจริต เรียกว่า บาปให้ผลใน ปวัตติกาล(ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่)
 
ผู้ใดพูดเพ้อเจ้อ เป็นเนืองนิตย์เป็นประจำ จะมีโทษมาก (บาปมาก)
ผู้ใดพูดเพ้อเจ้อ เป็นครั้งคราว (น้อย) ก็จะมีโทษน้อย (บาปน้อย)
 
          สรุปได้ว่า อกุศลวจีกรรม คือ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดคำหยาบ และการพูดเพ้อเจ้อทั้ง ๔ ประการ นี้ จัดเป็น วจีกรรม
 
          วจีกรรม คือ อาการเป็นไปของปาก ได้แก่ การพูด หรือ การกล่าว วาจา คือ วจีวิญญัติรูป นั่นเอง
 
วาจา มี ๔ ประการ
๑. สัททวาจา
ได้แก่
เสียงที่พูดออกมา
๒. วิรตีวาจา
การงดเว้นจากวจีทุจริต
๓. เจตนาวาจา
เจตนาที่ทำให้วจีวิญญัติรูปเกิด
๔. โจปนวาจา
กิริยาอาการพิเศษที่เป็นไปในถ้อยคำพูด สามารถให้ผู้ฟังรู้ความประสงค์ของตน
          เมื่อได้ศึกษาทำความเข้าใจถึงการทำบาปทางกาย ทางวาจา แล้ว เหลืออีกทางหนึ่งคือทางใจ ซึ่งจะได้ศึกษาทำความเข้าใจในลำดับต่อไป
 
๓. การทำบาปทางใจ
 
          อกุศลกรรมที่เกิดทางใจ ชื่อว่า มโนกรรม หรือ มโนทุจริต เป็นการทำที่ไม่ดีไม่งามทางใจ เพียงแต่คิดไว้ในใจ ยังไม่ได้กระทำบาปออกมาทางกาย วาจา ก็ได้ชื่อว่า เป็นทำบาปทางใจแล้ว เช่น การปรารถนาอยากได้หญิงอื่น ที่ไม่ใช่เป็นภรรยาของตน เรียกว่าเป็น ชู้ทางใจ เป็นต้น การทำบาปทางใจทำได้ ๓ ประการ คือ อภิชฌา พยาบาท และ มิจฉาทิฏฐิ
 
๑. การจ้องจะเอาทรัพย์ของคนอื่น มาเป็นของตน (อภิชฌา)
อภิชฌา หมายถึง ความเพ่งเล็งอยากได้ ในทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องการที่จะเอามาเป็นสมบัติของตน องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก
 
โลภะ มี ๒ อย่าง คือ
๑. ความอยากได้โดยชอบธรรม
  คือ เมื่อเกิดความอยากได้สิ่งของต่าง ๆ ขึ้นมาก็ต้องเสาะแสวงหามา โดยทางสุจริต ไม่ผิดศีลธรรม เช่น การซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือ การขอ
๒. ความอยากได้โดยไม่ชอบธรรม
  คือ เมื่อเกิดความอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็คิดหาทางที่จะขโมย ฉ้อโกง จี้ ปล้น หรือใช้กลวิธีต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น
 
องค์ประกอบของอภิชฌา มี ๒ ประการ คือ
๑. ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น
๒. มีจิตคิดอยากจะได้มาเป็นของตน
 
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๒ ประการนี้ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ถ้าผลของการทำบาป คือ การเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่นส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตลงจะไปเกิดใน อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ เดรัจฉาน เรียกว่า บาปส่งผลใน ปฏิสนธิกาล
 
ถ้าตอนสิ้นชีวิตนึกถึงบุญ
บุญนำเกิดเป็นมนุษย์ ผลของบาปที่ทำไว้นี้ก็จะตามมาให้ผลอีก ทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และ พิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดี ไม่งาม เมื่อมีทรัพย์และคุณความดี ก็จะทำให้ทรัพย์และคุณความดีนั้นตั้งอยู่ได้ไม่นาน ย่อมจะทำให้เกิดในตระกูลที่ต่ำ ขัดสนในลาภสักการะ มักจะได้รับการติเตียนอยู่เสมอ เรียกว่า บาปส่งผลใน ปวัตติกาล (หลังนำเกิด)
๒. การคิดแก้แค้น (พยาบาท)
พยาบาท คือการมุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดที่จะทำลายประโยชน์ และความสุขของผู้อื่น หาวิธีการที่ทำให้ผู้อื่น เกิดความพินาศเสียหาย หรือนึกสาบแช่งให้ได้รับอันตราย ต่าง ๆ ด้วยอำนาจของความโกรธแค้นที่เกิดขึ้นในใจ
          
องค์ประกอบของพยาบาท มี ๒ ประการ
๑. มีผู้อื่น
๒. คิดที่จะให้ความเสียหายเกิดกับผู้นั้น
          
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบ ๒ ประการนี้ จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผลของการทำบาป คือ การคิดพยาบาทส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตลงจะไปเกิดใน อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ เดรัจฉาน เรียกว่า บาปให้ผลใน ปฎิสนธิกาล (นำเกิด)
 
ถ้าตอนสิ้นชีวิตนึกถึงบุญ
บุญนำเกิดเป็นมนุษย์ ผลของบาปที่ทำไว้นี้ก็จะตามมาให้ผลอีก ทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม ทำให้อายุสั้น เกิดโรคภัยเบียดเบียน จะตายด้วยการถูกประหาร มีผิวพรรณที่หยาบกร้าน เรียกว่า บาปให้ผลใน ปวัตติกาล (ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่)
 
๓. การเห็นผิดจากความเป็นจริง (มิจฉาทิฏฐิ)
มิจฉาทิฏฐิ คือ การเห็นผิดจากความเป็นจริง หรือความเห็นที่มีความวิปริตไปจากความเป็นจริง ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ อย่างกว้างขวาง เช่น สักกายทิฏฐิ มีความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นเรา เป็นต้น มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ แสดงไว้ในพรหมชาลสูตร นิยตมิจฉาทิฏฐิ แสดงไว้ในสามัญผลสูตร เป็นต้น สำหรับความเห็นผิดในที่นี้ หมายเอาความเห็นผิดที่หยาบ ๆ ที่จะทำให้สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบถได้ ความเห็นผิดที่ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ ถือว่าเป็นหลักของความเห็นผิด เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ มี ๓ ประการ คือ
 
๑.นัตถิกทิฏฐิ (ไม่เชื่อเหตุ)
นัตถิกทิฏฐิ มีความเห็นว่า เมื่อได้ทำบาป ทำบุญไปแล้ว ไม่ต้องรับผล ของบาป ผลของบุญที่ได้กระทำไว้ ทำแล้วก็สูญเปล่าหายไป เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ไม่ต้องรับกรรมที่ทำ ความเห็นผิดเช่นนี้ตรงกับความเห็นผิดอีกชนิดหนึ่ง คือ
 
อุจเฉททิฏฐิ ที่มีความเห็นว่า สัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม เมื่อตายแล้วก็สูญหมด ไม่เกิดอีก ถือว่าเป็นการเห็นผิด ที่มีโทษร้ายแรงกว่าอกุศลกรรมบถอื่น ๆ มีโทษหนักกว่าปัญจานันตริยกรรม ๕ เมื่อตายไปต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกขุม โลกันตนรก เป็นนรกที่แสนจะทุกข์ทรมาน ตั้งอยู่ที่ขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่มาบรรจบต่อเนื่องกัน มืดสนิท
 
ความเห็นผิด ๑๐ ประการ ที่จัดว่าเป็น นัตถิกทิฏฐิ
ตามที่แสดงไว้ในสามัญผลสูตร มีดังนี้

๑. เห็นว่า การทำทาน ไม่มีผล
๒. เห็นว่า การบูชา ไม่มีผล
๓. เห็นว่า การต้อนรับเชื้อเชิญ ไม่มีผล
๔. เห็นว่า การทำดี ทำชั่ว ไม่มีผล
๕. เห็นว่า ผู้มาเกิดในภพนี้ ไม่มี
๖. เห็นว่า ผู้จะไปเกิดในภพหน้า ไม่มี
๗. เห็นว่า บุญคุณของมารดา ไม่มี
๘. เห็นว่า บุญคุณของบิดา ไม่มี
๙. เห็นว่า ว่า ผู้ที่เกิดและโตทันทีเป็น ผี เทวดา พรหม ไม่มี
๑๐. เห็นว่า ว่า ผู้รู้แจ้งโลก ฯลฯ คือ พระพุทธเจ้า ไม่มี
 
          คนบางคน หรือ คนส่วนใหญ่ ยังมีความเห็นผิดอย่างนี้อยู่ นับว่า เป็นอันตรายมาก ความเห็นเช่นนี้ เมื่อตายไปจะต้องไปนรกแน่นอน (จะมีตัวอย่างเรื่องคำสารภาพผิดของสัตว์นรก ๔ ตน เกิดอยู่ใน โลหกุมภีนรกซึ่งจะอยู่ในเรื่องชนกกรรมชุดที่ ๗.๒)
 
          นัตถิกทิฏฐิ นี้เป็นการปฏิเสธผลของบุญ ผลของบาป คือ ปฏิเสธกุศลกรรม และอกุศลกรรม นั่นเอง
 
๒. อเหตุกทิฏฐิ (ไม่เชื่อเหตุ)
ความเห็นผิดในอเหตุกทิฏฐิ มีความเห็นว่าคนที่กำลังได้รับความทุกข์ ความสุข ความ ผิดหวัง ความสมหวัง ความโศกเศร้าเสียใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดมาจากเหตุที่ตนได้เคยทำบาป (อกุศล) หรือทำบุญ (กุศล) มาก่อนในอดีต ที่จริงแล้ว ความสุขความทุกข์ในปัจจุบัน เกิดมาจากบุญและบาป ที่เราได้เคยทำไว้ในอดีตทั้งสิ้น แม้การอุบัติเกิดขึ้น ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องสร้างบารมีมาแล้วถึง ๓๐ ทัศ หรือแม้แต่การได้เกิดมา เป็นพระราชามหากษัตริย์ ก็เนื่องจากได้เคยกระทำบุญกุศล อันเป็นเหตุปัจจัยมาแล้ว หรือคนที่เกิดมาเป็นคนสวย ร่ำรวย มีเสน่ห์ มียศฐาบรรดาศักดิ์นั้น ก็เกิดมาจากบุญเก่า ที่ได้เคยทำไว้แล้ว หรือพระอินทร์ แม้จะรู้ว่าทิพยสมบัติที่ตนมีอยู่นั้น มีมากกว่าเทพบุตรบางองค์ในชั้นเดียวกัน แต่ท่านก็ยังแปลงกายมาเป็นคนแก่ เพื่อต้องการที่จะทำทาน สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่กับพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ที่พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ในทันทีที่กลับไป ทิพยสมบัติทั้งหลาย ต่างก็ปรากฏรัศมีเรืองรอง เปล่งปลั่งสว่างไสวเหนือกว่า เทพบุตรองค์อื่นๆ ยิ่งขึ้น ดังนั้นถ้าต้องการบุญ ก็ต้องมาสร้างบุญ (คือ ทำเหตุ เพื่อให้เกิดผลตามที่ตนปรารถนา) เมื่อบุคคลใดมีความเห็นตรงกันข้าม กับความจริงเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่า อเหตุกทิฏฐิ
 
๓. อกิริยทิฏฐิ (ไม่เชื่อทั้งเหตุและผล)
อกิริยทิฏฐิ ชื่อว่า เป็นความเห็นผิดที่รวมยอด คือ เป็นทั้ง นัตถิกทิฏฐิ และ อเหตุกทิฏฐิ มารวมกัน โดยมีความเห็นว่า การกระทำต่าง ๆ นั้นไม่สำเร็จเป็นบาปเป็นบุญแต่ประการใดเลย การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีความเห็นว่าการทำความชั่ว (ทุจริต) หรือ การทำความดี (สุจริต) ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ นั้น ไม่สำเร็จผลเป็นบาปหรือเป็นบุญแต่อย่างใด ความเห็นของบุคคลนั้นชื่อว่า อกิริยทิฏฐิ ทั้งสิ้น
 
ความเห็นที่จัดเป็นอกิริยทิฏฐิ
การทำดี การทำชั่ว
จะทำด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นทำ
ไม่ชื่อว่า
เป็นบาปเป็นบุญ
การตัดอวัยวะ เฆี่ยนตีผู้อื่น
"
"
การทำให้ผู้อื่นเศร้าโศกเสียใจ
"
"
การทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบาก
"
"
การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์
"
"
อกุศลกรรมบถอื่น ๆ
"
"
 
          ความเห็นผิดชนิดอกิริยทิฏฐินี้ เป็นความเห็นที่ปฏิเสธ กรรม อันเป็นตัวเหตุ เสียแล้ว ก็เท่ากับว่าได้ ปฏิเสธผลของกรรม ไปด้วย
 
ผลของบาป
ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ ซึ่งเรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ นี้ เมื่อตายไป จะต้องไปเกิดใน นรก แน่นอน ความเห็นผิดเช่นนี้ แม้พระพุทธองค์ ก็ไม่สามารถที่จะไปช่วยเหลือ แก้ไขความเห็นผิด ของบุคคลเหล่านั้นได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ของบุคคลเหล่านั้น
 
ทิฏฐิ กับ ปัญญา
 
          ทิฏฐิ กับ ปัญญา มีสภาพธรรมที่ตรงกันข้าม เหมือนความ มืดกับสว่าง เหมือนคนเดินหันหลังให้กัน ต่างก็จะห่างไกลกันออกไปทุกที
 
ด้านปัญญา มีความเจริญขึ้น จะรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ โดยได้รับอุปการะจากศรัทธา วิริยะ สติ และ สมาธิ ไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายปัญญาของผู้นั้นได้ เขาย่อมมีความเลื่อมใสเป็นพิเศษในคุณพระรัตนตรัย เชื่อในกรรมและผลของกรรม เชื่อว่าตายแล้วต้องเกิดอีก
 
ด้านทิฏฐิ มีความเจริญขึ้นในทางไม่ดี โดยได้รับการสนับสนุนจาก มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ ย่อมยึดในความเห็นผิดของตน ไว้อย่างเหนียวแน่น จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดไม่ได้ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมต้องไปเสวยทุกขเวทนาใน อเวจีมหานรก โดยแน่นอน
 
องค์ประกอบของมิจฉาทิฏฐิ มี ๒ ประการ
๑. เนื้อความที่ได้ยึดไว้นั้นผิดจากความจริง
๒. มีความเห็นว่าเนื้อความนั้นเป็นความจริง
 
ตารางสรุปอกุศลกรรมบถ ๑๐ สงเคราะห์เข้าในมโนกรรม ๓
อภิชฌา
 
๑. อทินนาทาน
๒. กาเมสุมิจฉาจาร
๓. มุสาวาท
๔. ปิสุณวาจา
๕. สัมผัปปลาปะ
๖. มิจฉาทิฏฐิ
พยาบาท
 
๑. ปาณาติบาต
๒. อทินนาทาน
๓. มุสาวาท
๔. ปิสุณวาจา
๕. ผรุสวาจา
๖. สัมผัปปลาปะ
มิจฉาทิฏฐิ
 
ทุจริตกรรม
ทั้ง ๑๐ ประการ
 
 
 
 
 
การทำบาปทางใจ กับ การทำอกุศลกรรมบถ ๑๐
(ขยายความ)
 
๑. เมื่อเกิดความโลภ (อภิชฌา) ขึ้นภายในจิตใจ ด้วยอำนาจของความโลภ จะผลักดัน ให้ทำทุจริตกรรมตามมา ถึง ๖ อย่าง ใน ๑๐ อย่าง คือ
 
๑. ความโลภ
เมื่อเกิดความโลภอยากได้ สิ่งที่จะทำบาปตามมาก็คือ ๑. การลักขโมย ๒. การประพฤติผิดในกาม ๓. การพูดเท็จ ๔. การพูดส่อเสียดทำให้คนแตกแยกกัน ๕. การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ ๖. การยึดถือในสิ่งที่ผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก
๒. ความพยาบาท
เมื่อเกิดความคิดแก้แค้น (พยาบาท) สิ่งที่จะทำบาปตามมาก็คือ ๑. การฆ่าสัตว์ ๒. การลักขโมย ๓. การพูดเท็จ ๔. การพูดส่อเสียดทำให้คนแตกแยก ๕. การพูดคำหยาบ ๖. การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ
๓. ความเห็นผิด
ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เมื่อเกิดความเห็นผิดเสียอย่างเดียว สิ่งที่จะทำบาปตามมานั้นทำได้ครบทั้ง ๑๐ อย่าง คือ ๑. การฆ่าสัตว์ ๒. การลักขโมย ๓. การประพฤติ ผิดในกาม ๔. การพูดเท็จ ๕. การพูดส่อเสียดทำให้คนแตกแยกกัน ๖. การพูดคำหยาบ ๗. การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ ๘. ความเพ่งเล็งใน ทรัพย์สินของผู้อื่น ๙. ความพยาบาทปองร้าย ๑๐. ความเห็นผิดจากความเป็นจริง
 
          จะเห็นได้ว่า การทำอกุศล มีผลต่อผู้ทำทั้งปัจจุบันและอนาคต ผลในปัจจุบันก็คือ ในขณะที่ผู้ทำอกุศลหรือความชั่วนั้น ย่อมทำให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่สุด และยิ่งทุกข์มากกว่านั้นอีก เมื่ออกุศลทั้งหลายส่งผลนำเกิด ย่อมทำให้ไปสู่นรก ได้รับทุกข์โทษในนรกอย่างแสนสาหัส เป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนปี นับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อสิ้นกรรมตายจากนรก ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์เศษกรรมเหล่านั้น ก็ยังตามส่งผลให้ผู้นั้นได้รับผลกรรมอีกต่าง ๆ นานับประการดังที่กล่าวมาแล้ว
 
          เมื่อเราทราบว่าอกุศลทั้งหลายมีอะไรบ้าง และผลแห่งอกุศลนั้นจะนำพาให้เราได้รับทุกข์รับโทษอย่างไรแล้ว เราก็มารู้จักบุญที่เรียกว่ากุศลว่ามีอะไรบ้าง และจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะด้รับผลแห่งบุญ

กามาวจรกุศลกรรม

กามาวจรกุศลกรรม ได้แก่เจตนาที่อยู่ในมหากุศลจิต ๘ หมายถึงการทำกรรมดี ๓ ทาง คือทางกาย (กายกรรม ๓) ทางวาจา (วจีกรรม ๔) และทางใจ (มโนกรรม ๓) เรียกว่า กุศลกรรมบท ๑๐ หรือ ความดีที่ควรทำอีก ๑๐ อย่าง จะให้ผลเป็นบุญกุศล เป็นความสุขความเจริญ เช่นเดียวกัน เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
          
กุศลกรรมบถ ๑๐
          
กุศลกรรมบถ ๑๐ ประกอบด้วย
๑. การทำความดีทางกาย (กายกรรม ๓)
๒. การทำความดีทางวาจา (วจีกรรม ๔)
๓. การทำความดีทางใจ (มโนกรรม ๓)
          
๑. การทำความดีทางกาย (กายกรรม ๓) มี ๓ อย่าง คือ
          
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
  มีความตั้งใจว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ จะไม่ทำลาย สิ่งมีชีวิตทั้งปวง จะให้ความรักความเมตตาสงสาร ความโอบอ้อมอารี ถือว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา ผลของบุญที่จะได้รับ เมื่อสิ้นชีวิตลงจะได้ไปสู่สุคติภพ ได้เกิด เป็นมนุษย์ หรือเทวดา เสวยทิพยสมบัติ มีรูปงาม อายุยืนนาน ผิวพรรณผ่องใสปราศ จากโรคภัยมีข้าทาสบริวาร มีกำลังวังชาแข็งแรง
๒. เว้นจากการ ลักทรัพย์
  มีความตั้งใจว่าจะไม่ขโมยทรัพย์สินใดๆ ของผู้อื่น ที่เขามิได้ให้ ผลของบุญที่จะได้รับ เมื่อตายลง จะได้ไปสู่สุคติภพ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ทำให้ทรัพย์มั่นคง ไม่ถูกทำลาย จากภัยดังกล่าวข้างต้น
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
  มีความตั้งใจว่าจะไม่ประพฤติล่วงเกิน บุตรภรรยาสามีของผู้อื่น ผลของบุญที่จะได้รับ เมื่อสิ้นชีวิตลงจะได้ไปสู่สุคติภพ ได้เกิด เป็นมนุษย์ หรือเทวดาทำให้มีครอบครัวที่อบอุ่น บุตรธิดา สามี ภรรยา รักใคร่ปรองดอง กันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ซื่อตรงต่อกัน ไม่คิดนอกใจกัน
 
๒. การทำความดีทางวาจา (วจีกรรม ๔) มี ๔ อย่าง คือ
          
๑. การไม่พูดเท็จ
๒. การไม่พูดส่อเสียด
๓. การไม่พูดคำหยาบ
๔. การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ
          
ผู้ที่ปกติชอบพูดเท็จพูดไม่จริงอยู่เสมอ หรือชอบพูดส่อเสียด
ยุยงด่าว่าผู้อื่นด้วยคำหยาบคายต่าง ๆ พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ ครั้นเมื่อได้ศึกษาธรรมะแล้ว มีสติรู้จักผิดชอบชั่วดี มีหิริโอตตัปปะ การกล่าวเท็จ การกล่าวยุยงส่อเสียด กล่าวคำหยาบคาย หรือพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ที่เคยกล่าวหรือพูดมาแต่ก่อน ๆ หากหยุดเสียได้ บุญกุศลย่อมจะเกิดขึ้น
          
องค์ธรรมของวจีกรรม หรือ วจีวิญญัติทั้ง ๔ คือ
  ๑. สัมมาวาจาเจตสิก
  ๒. สัมมาอาชีวเจตสิก
หรือเจตนาที่เกิดในมหากุศลจิต ๘ นั่นเอง
          
ผลของบุญที่จะได้รับ จากการงดเว้นวจีทุจริตกรรมทั้ง ๔
เมื่อตายลงจะได้ไปสู่สุคติภพ ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เทวดา ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ดีงาม ไม่ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ ไม่ถูกติเตียน ได้รับการยกย่องนับถือจากบุคคลทั่วไป ทรัพย์สินมั่นคง ไม่พินาศจากภัยต่าง ๆ
          
๓. การทำความดีทางใจ (มโนกรรม ๓) มี ๓ อย่าง คือ
          
๑. การไม่คิดเพ่งเล็ง อยากได้ ในทรัพย์ของคนอื่น มาเป็นของตนเอง (อนภิชฌา)
๒. การไม่อาฆาตพยาบาท จองเวรกับใคร (อพยาปาท)
๓. มีความเห็นถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง (สัมมาทิฏฐิ)
          
การทำความดีทางใจ
คือ การสำรวมจิตใจ มิให้ใจของเรา ได้ตกไปในฝ่ายที่ไม่ดี เป็นอกุศล ตั้งใจว่าจะคิดแต่สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ไม่เป็นโทษ เป็นพิษภัยแก่ตนเองหรือผู้อื่น
          
ผลของบุญที่จะได้รับ
เมื่อสิ้นชีวิตลงจะได้ไปเกิดในสุคติภพ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือ เทวดา มีรูปกายที่สวยงาม มีวรรณะผ่องใส อยู่ในตระกูลในฐานะที่สูง เป็นผู้มีปัญญา เป็นไปเพื่อมรรคผลในที่สุด
          
การทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ
นอกจาก จะให้ความสุขกาย สบายใจในภพนี้แล้ว ยังจะให้ผลในภพหน้า ชาติหน้า และภพชาติต่อไป และจะเป็นปัจจัย ให้เข้าถึง ซึ่งความหมดทุกข์ต่อไปอีกด้วย

 

          
          เรามาศึกษา ทำความเข้าใจรายละเอียด ของการทำคุณงามความดี ที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ วัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งบุญกุศล กันต่อไป
          
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
          
          บุญกิริยาวัตถุ คือ ความดีที่ควรทำ เพราะเป็นเหตุ เป็นที่ตั้ง แห่งผลของความดี
          
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ แบ่งเป็น ๒ นัย คือ
๑. สุตตันตนัย
เป็นการแสดงบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง ๓ คือ กายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร รวมได้เป็น ๓๐
๒. อภิธรรมนัย
เป็นการสงเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เข้าใน กุศลกรรมบถ ๑๐
          
ตารางแสดงบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่เกิดทางทวารทั้ง ๓ โดยสุตตันตนัย
          
ดังนั้น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ
๑. การให้ทาน ๖. การอุทิศส่วนกุศล
๒. การรักษาศีล ๗. การอนุโมทนากุศล
๓. การเจริญภาวนา ๘. การฟังธรรม
๔. การอ่อนน้อมถ่อมตน ๙. การแสดงธรรม
๕. การช่วยงานกุศล ๑๐. ความเห็นตรงกับความจริง
          
          บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นี้ สามารถทำได้ทั้ง ๓ ทวาร คือ กายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร
          
ตารางแสดงการสงเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ลงในกุศลกรรมบถ ๑๐
ตามอภิธรรมนัย
          
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
สงเคราะห์ลงในกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้เป็น
๑. การให้ทาน (ทาน) มโนกรรม ๑ คือ อนภิชฌา การไม่เพ่งเล็งอยากได้
๒. การรักษาศีล (ศีล) กายกรรมศีล ๓ และวจีกรรมศีล ๔
๓. การเจริญภาวนา (ภาวนา) มโนกรรม ๒ คือ อพยาบาท และ สัมมาทิฏฐิ
๔. การอ่อนน้อมถ่อมตน (อปจายนะ)
๕. การช่วยงานกุศล (เวยยาวัจจะ)
๖. การอุทิศส่วนกุศล (ปัตติทานะ) มโนกรรม ๒ คือ อนภิชฌา และ สัมมาทิฏฐิ
๗. การอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนา)
๘. การฟังธรรม (ธัมมัสสวนะ) มโนกรรม ๑ คือ สัมมาทิฏฐิ
๙. การแสดงธรรม (ธรรมเทศนา) มโนกรรม ๓ คือ อนภิชฌา อพยาบาท และ สัมมาทิฏฐิ
๑๐. การมีความเห็นตรงความจริง
       (ทิฏฐุชุกรรม)
มโนกรรม ๑ คือ สัมมาทิฏฐิ
 
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
          
๑. ทาน (การให้)
          ทาน คือ การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ ลักษณะของทาน นั้นมี ๔ ประการ คือ
๑. เป็นการให้แก่ผู้อื่น
๒. เป็นการทำลายความโลภออกจากตัว
๓. จะให้ความสมบูรณ์พูนสุข ในการเวียนเกิด เวียนตาย เกิดจนถึงนิพพาน
๔. เกิดขึ้นจากศรัทธา เห็นประโยชน์ของทานก่อน การทำทานจึงเกิดขึ้น
          
ทาน มี ๒ อย่าง คือ
๑. เจตนาทาน
๒. วัตถุทาน
ทาน มี ๔ อย่าง คือ
๑. เจตนาทาน
๒. วัตถุทาน
๓. อโลภทาน
๔. วิรตีทาน
          
          เจตนาทาน เมื่อกล่าวโดยองค์ของทานแล้ว ได้แก่ เจตนาเจตสิก ที่ประกอบในมหากุศลจิต ๘ อันเป็นเหตุให้เกิดการทำทาน
          
เมื่อจะกล่าวถึงเจตนาของการให้ทานแล้ว มี ๓ ประการ คือ
๑. เจตนาก่อนให้ทาน
เรียกว่า
ปุพพเจตนาทาน
๒. เจตนาขณะให้ทาน
เรียกว่า
มุญจเจตนาทาน
๓. เจตนาหลังจากให้ทาน
เรียกว่า
อปรเจตนาทาน
          
หลักของการทำทาน
คือ ก่อนทำ ทาน ขณะทำ ทาน และ หลังทำ ทานแล้ว ถ้าไม่เป็นไปด้วยความโลภ ไม่เป็นไปด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปด้วยความไม่เข้าใจ ย่อมจะได้อานิสงส์มาก
          
ถ้าไม่เข้าใจในการทำบุญและผลของบุญ
โดยสักแต่ว่าทำตาม ๆ กันไป ย่อมจะได้รับอานิสงส์น้อย
 
ถ้าในกาลทั้ง ๓ มีความโลภ ความโกรธ และความไม่เข้าใจ เจือปนอยู่ด้วย
ก็ย่อมจะได้ รับอานิสงส์น้อยลงตามลำดับ
 
ผลของเจตนาทาน
บุคคลใดทำทานครบเจตนาทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ถ้าบุญนั้น ได้โอกาสส่งผล ก็จะนำเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาได้ ทำให้ได้สกุล ฐานะ ทรัพย์สมบัติและบริวาร ต่างกันไป ตามกำลังของบุญที่ทำไว้ ในอปทานพระบาลี ท่านแสดงไว้ว่า การถวายดอกไม้เพียงดอกเดียว ไม่ต้องตกนรกถึง ๘๐ โกฏิชาติ เวียนเกิดเวียนตายในมนุษยโลก และเทวโลก ไม่ขาดสายตลอดเวลา ๘๐ โกฏิชาต
 
พระพุทธโฆษาจารย์ ได้กล่าวสรรเสริญการให้ทานว่า
“การทำบุญกับพระสงฆ์ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จะได้บุญมหาศาล เหมือนกับการหว่านพืชไว้เพียงเล็กน้อยเท่าเมล็ดโพธิ์ แต่ได้รับผลเหมือนกับต้นโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา”
 
          ต่อไปจะศึกษาเรื่องทาน ที่จัดไว้เป็นหมวด ๆ เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของทานยิ่งขึ้น
 
การแบ่งหมวดทานตามนัยต่าง ๆ
ทานหมวด ๒
ทานหมวด ๓
๑. อามิสทาน คือ การให้วัตถุปัจจัยต่างๆ ๒. ธรรมทาน คือ การให้ธรรมเป็นทาน
๑. หีนทาน คือ ทำบุญปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ
๒. มัชฌิมทาน คือทำบุญปรารถนา มนุษย์และสวรรค์สมบัติ
๓. ปณีตทาน คือ ทำบุญปรารถนา มรรคผลนิพพาน
๑. สาหัตถิกทาน คือ การทำทานด้วยตนเอง
๒. อาณัตติกทาน คือ ใช้ให้ผู้อื่นทำแทน
๑. หีนทาน คือ ทำบุญปรารถนา มนุษย์และสวรรค์สมบัติ
๒. มัชฌิมทาน คือทำบุญปรารถนาเป็น สาวกปัจเจกพุทธเจ้า
๓. ปณีตทาน คือ ทำบุญปรารถนา พระสัมมาสัมโพธิญาณ
๑. สัมปชานทาน
  คือ การทำบุญที่เข้าใจในผลของบุญ
๒. อสัมปชานทาน
  คือ ไม่เข้าใจในบุญและผลของบุญ
๑. หีนทาน คือ การทำบุญชั้นต่ำ ตั้งใจ เล็กน้อย
๒. มัชฌิมทาน คือ การทำบุญชั้นกลาง ตั้งใจ พอประมาณ
๓. ปณีตทาน คือ การทำบุญชั้นสูง ตั้งใจ อย่างยิ่ง
๑.วัฏฏนิสสิตทาน
  คือ ทำบุญต้องการรูปสวยรวยทรัพย์
๒. วิวัฏฏนิสสิตทาน
  คือ ทำบุญต้องการมรรคผลนิพพาน
๑. ทาสทาน คือ ทำบุญด้วยของที่ ต่ำกว่า ที่ตนบริโภค
๒. สหายทาน คือ ทำบุญด้วยของที่ เสมอกับ ที่ตนบริโภค
๓. สามีทาน คือ ทำบุญด้วยของที่ ดีกว่า ที่ตนบริโภค
 
๑. โลกาธิปไตยทาน คือ ทำบุญโดยปรารภ หมู่ชนเป็นใหญ่
๒. อัตตาธิปไตยทาน คือ ทำบุญโดยปรารภตนเองเป็นใหญ่
๓. ธัมมาธิปไตยทาน คือ ทำบุญโดยปรารภ ธรรมเป็นใหญ่
สัปปุริสทาน ๕
 
          สัปปุริสทาน คือ ทานของสัปปุรุษ ผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในธรรม ตั้งอยู่ในทาน ศีล ภาวนา มี ๕ ประการ คือ
 
สัปปุริสทาน ๕
ผลของสัปปุริสทาน
๑. สัทธาทาน
คือ บริจาคทานโดย
  ความเลื่อมใส
  เชื่อในการกระทำ
  เชื่อในผลของการกระทำนั้น
** เกิดในภพต่อ ๆ ไป
  - จะเกิดความมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
  - พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอารมณ์
  - มีรูปร่างสัณฐานงดงามน่าดูน่าชม
  - มีผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่ง
๒. สักกัจจทาน
คือ
บริจาคทานโดยความเคารพ
  กระทำด้วยตนเอง
  ไทยธรรม นั้นสะอาดหมดจด
** เกิดในภพต่อ ๆ ไป
  - จะเกิดความมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
  - พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอารมณ์
  - บุตร ภรรยา สามี บริวาร เชื่อฟัง เอาอกเอาใจ
๓. กาลทาน
คือ
บริจาคทานเหมาะสมแก่กาล นั้นๆ
   
   
** เกิดในภพต่อ ๆ ไป
  - จะเกิดความมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
  - พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอารมณ์
  - ลาภสักการะเจริญรุ่งเรือง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
๔. อนุคคหิตทาน
คือ
บริจาคทานโดย
  การสละอย่างแท้จริง
  ไม่มีความเสียดายในวัตถุทาน นั้นๆ
** เกิดในภพต่อ ๆ ไป
  - จะเกิดความมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
  - พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอารมณ์
  - จิตใจอิ่มเอิบอยู่กับการเสวยความสุข
๕. อนุปหัจจทาน
คือ
บริจาคทานโดย
  ไม่กระทบกระเทือนตนเอง และผู้อื่น
** เกิดในภพต่อ ๆ ไป
  - จะเกิดความมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
  - พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอารมณ์
  - ทรัพย์สินพ้นจากภัย ๕ จากลูกหลานและญาติ พี่น้อง
ต่อไปเราจะมาศึกษา และทำความเข้าใจ ในเรื่องของศีล เพื่อให้เกิดความงดงามยิ่งขึ้น
 
๒. ศีล (การงดเว้นทำบาป)
          ศีล คือ ธรรมชาติที่ทำให้กายกรรม วจีกรรม ตั้งไว้ด้วยดี ก็คือศีลนั้นมีหน้าที่ รักษากาย วาจา ไม่ให้เป็นไปในทางทุจริตนั่นเอง หรือ ศีล คือ ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งกุศลธรรม ได้แก่ สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ เรื่องของศีลเน้นอยู่ที่ กาย วาจา มิให้กาย วาจา ไปกระทำบาปทุจริตกรรม คือ การงดเว้นจากการทำบาปทั้งปวง
 
ประเภทของศีล
ศีล มี ๔ ประเภท คือ
  ๑. ภิกขุศีล
คือ
ศีลของพระภิกษุ มี ๒๒๗ ข้อ ที่ได้แสดงไว้ในปาติโมกข์
  ๒. ภิกขุณีศีล
คือ
ศีลของภิกษุณี มี ๓๑๑ ข้อ ที่ได้แสดงไว้ในปาติโมกข์ เช่นเดียวกัน
  ๓. สามเณรศีล
คือ
ศีลของสามเณร มี ๑๐ ข้อ
  ๔. คฤหัสถศีล
คือ
ศีลของผู้ครองเรือน มี ๕ ข้อ ได้แก่ ศีล ๕
ภิกขุศีล ภิกขุณีศีล และ สามเณรศีล ไม่ต้องมีการสมาทาน ส่วนคฤหัสถศีล ต้องมีการสมาทาน
 
นิจศีล และ อนิจศีล
 
นิจศีล หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วาริตตศีล คือ ศีลที่สมาทานครั้งเดียวแล้ว รักษาตลอดไปเป็นนิตย์
ไม่ต้องสมาทานอีก เมื่อสมาทานแล้วไม่รักษาย่อมจะมีโทษ (มีบทลงโทษ)
ได้แก่ ศีลของพระภิกษุ ๒๒๗ ศีลของภิกษุณี ๓๑๑ ศีลของสามเณร ๑๐ ศีลของอุบาสก อุบาสิกา ผู้นุ่งขาวห่มขาว (แม่ชี) อุโบสถศีล หรือ ศีล ๘
  สำหรับศีล ๕ ถือว่าเป็นศีลของคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วย
อนิจศีล หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จาริตตศีล คือ ศีลที่ต้องสมาทาน ถ้าไม่รักษาก็ไม่มีโทษ เช่น การประพฤติธุดงค์ ๑๓ ข้อ ของพระภิกษุ สามเณร
  สำหรับ อุโบสถศีล หรือ ศีล ๑๐ ที่สามเณรรักษาอยู่ ถือว่าเป็น อนิจศีล ด้วย
 
          อนึ่ง ศีลอีกประเภทหนึ่ง ที่เราไม่ค่อยจะคุ้นเคยกัน คือ อาชีวัฏฐมกศีล เป็นศีล ๘ อีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ต้องอดอาหารมื้อเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ยังห่วงใย เกี่ยวกับสุขภาพของตน ซึ่งมีความแตกต่างกับศีล ๘ หรือ อุโบสถศีล เล็กน้อย คือ
ความแตกต่างระหว่างอุโบสถศีล และ อาชีวัฏฐมกศีล
อุโบสถศีล
อาชีวัฏฐมกศีล
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์
๒. เว้นจากการลักทรัพย์
๓. เว้นจากการก้าวล่วงในพรหมจรรย์
๔. เว้นจากการพูดเท็จ
๕. เว้นจากการดื่มสุราเมรัย
๖. เว้นจากการรับประทานอาหาร ในยามวิกาล
๗. เว้นจากการตบแต่งเครื่องหอม เครื่องย้อม เครื่องทา
๘. เว้นจากการนอนเหนือที่นอนอันสูงใหญ่
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์
๒. เว้นจากการลักทรัพย์
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. เว้นจากการพูดเท็จ
๕. เว้นจากการพูดส่อเสียด
๖. เว้นจากการพูดคำหยาบ
๗. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๘. เว้นจากการประกอบอาชีพ ที่พระพุทธองค์ ทรงห้าม
คือ ค้าสัตว์เพื่อเอาไปฆ่า ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ ค้ายาพิษ ค้าสุราและเมรัย
 
การงดเว้นจากการทำบาป ๓ (วิรัติ ๓)
          การงดเว้นทำบาป (วิรัติ) ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ มี ๓ ประการ คือ
 
๑. งดเว้นด้วยการสมาทาน หรือ สัมปัตตวิรัต
เป็นการงดเว้นเฉพาะหน้าเมื่อมีอารมณ์สิ่งยั่วยุให้ กระทำบาป
วิธีทำใจ ให้นึกถึงชาติกำเนิดของเรา ไม่เคยมีประวัติ ในการทำความชั่ว ความเสียหายมาก่อน อายุก็ปานนี้แล้ว ใกล้ตายเข้าไปทุกวัน ๆ ถ้าไปทำชั่ว ก็ไม่มีเวลาที่จะแก้ตัวทำความดีอีกแล้ว ทั้งก็เป็นผู้ที่ผ่านการศึกษามามาก น่าละอายแก่ใจที่จะทำความชั่วลงไป การงดเว้นไม่ทำชั่ว โดยคิดได้อย่างนี้ชื่อว่า สัมปัตตวิรัติ ได้แก่ วิรตีเจตสิกที่ประกอบในมหากุศลจิต ๘
 
๒. งดเว้นด้วยการสมาทาน หรือ สมาทานวิรัติ
ได้แก่ การกล่าวงดเว้นในขณะที่สมาทานศีลของ อุบาสกอุบาสิกา ได้แก่ เจตนาเจตสิกในมหากุศลจิต ๘ เช่นเดียวกัน
 
๓. การงดเว้นจากการทำบาปโดยเด็ดขาด หรือ สมุจเฉทวิรัติ
คือ การงดเว้นของพระอริยบุคคล มี พระโสดาบัน เป็นต้น อันได้แก่ เจตนาเจตสิกในมรรคจิต ๔
 
คุณลักษณะและประโยชน์ ของศีล
 
๑. เป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งปวง
  อุปมาเสมือนแผ่นดิน ย่อมเป็นที่ตั้ง ของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
๒. มีการไม่กระทำในสิ่งที่ผิดศีล
  เหมือนกับคนไข้ ย่อมไม่รับประทานของ ที่แสลงกับโรค
๓. มีกาย วาจา ที่บริสุทธิ์
  คือ ไม่ทำบาป (สิ่งไม่บริสุทธิ์) ด้วยกาย วาจา
๔. มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ)
  เป็นต้นเหตุทำให้เกิดศีล
๕. ความไม่โกรธ (อโทสะ)
  ความไม่ประทุษร้าย จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการรักษาศีล
๖. ย่อมเป็นอุปนิสัยให้ได้มรรคเบื้องต่ำ ๓
  คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค เมื่อเป็นมหากุศลที่มีทาน ศีล รองรับแล้ว จะเป็นอุปนิสัยต่ออรหัตตมรรค อรหัตตผล เมื่อมีมหากุศลภาวนา รองรับ
 
๓. ภาวนา
ภาวนา คือ การทำกุศลอันประเสริฐให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชื่อว่า ภาวนา หรือ ธรรมชาติใดที่ทำให้กุศลที่ประเสริฐ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แล้วทำให้เจริญขึ้น ชื่อว่า ภาวนาในปริจเฉทที่ ๙ แบ่งคำว่า ภาวนา ออกเป็น ๒ คือ สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา อันได้แก่ โลกียกุศลและโลกุตตรกุศล
สำหรับคำว่า ภาวนา ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นี้ หมายถึงมหากุศลจิตอย่างเดียว อันได้แก่ การที่ทำให้ปัญญาเกิดขึ้น เช่น การเรียนการสอนธรรมะ ตลอดจนการพิจารณาใคร่ครวญธรรมะต่าง ๆ จัดเข้าเป็นภาวนา ในบุญกิริยาวัตถุทั้งสิ้น
คุณลักษณะและประโยชน์ของภาวนา
๑. ทำให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น
  จนถึงอรหัตตมรรคและอรหัตตผล เหมือนน้ำย่อมทำให้พืชพันธุ์ ธัญญาหาร เจริญงอกงามจนกระทั่งผลิดอกออกผล
๒. มีการประหาณทำลายบาปอกุศลที่เกิดขึ้น
  เหมือนเครื่องตัดหรือเครื่องประหาร
๓. เป็นสื่อนำเข้าสู่การเจริญสติปัฏฐานรูปนาม
  ให้ถึงซึ่งโลกุตตรธรรม
๔. มีการใส่ใจในอารมณ์ที่ถูกที่ควรไว้ก่อน
  ภาวนากุศลจึงจะเกิดขึ้นได้
 
๔. อปจายนะ (การเคารพนอบน้อม)
อปจายนะ คือ การเคารพนอบน้อม ต่อบุคคลที่ควรเคารพนอบน้อม โดยมิได้หวัง ลาภ ยศ สักการะแต่อย่างใด ถ้าการเคารพนอบน้อม โดยหวังสิ่งตอบแทนดังกล่าว ไม่ชื่อว่าเป็นอปจายน แต่เป็นมารยาสาไถยไป
 
อปจายนะ มี ๒ อย่าง คือ
 
๑. สามัญอปจายนะ คือ การแสดงความเคารพนอบน้อมต่อ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ครู อาจารย์ ซึ่งเรามีหน้าที่ ที่จะต้องให้ความเคารพนอบน้อมต่อท่าน เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นครูอาจารย์ของเรา
๒. วิเสสอปจายนะ คือ การแสดงความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัย ด้วยการระลึกถึงพระคุณต่าง ๆ เช่น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นต้น
 
 
๑. คุณวุฒิบุคคล คือ บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ หรือบุคคลที่เป็นผู้เจริญ ด้วยอำนาจแห่ง ศีลคุณ สมาธิคุณ และปัญญาคุณ
๒. วัยวุฒิบุคคล คือ บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ หรือบุคคลที่เป็นผู้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งอายุ ได้แก่ ผู้ที่เกิดมานานมีอายุมาก
๓. ชาติวุฒิบุคคล คือ บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ หรือบุคคลที่เป็นผู้เจริญ ด้วยอำนาจแห่ง ชาติตระกูล หรือวงศ์สกุล
 
          วุฒิทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าวนั้น บางท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิครบทั้ง ๓ ประเภท คือ คุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุติ เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านก็มี ๒ ประเภท คือ คุณวุฒิ กับ วัยวุฒิ เช่น พระอริยสงฆ์ที่มาจากตระกูลสามัญ หรือ คุณวุฒิ กับ ชาติวุฒิ เช่น พระราหุล หรือวัยวุฒิ กับ ชาติวุฒิ เช่น พระเจ้าสุปปพุทธ บางท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิได้เพียงอย่างเดียว
 
          ในการแสดงความนอบน้อม ผู้มีคุณวุฒิไม่ต้องแสดงความเคารพ ด้วยการกราบต่อผู้มีวุฒิบุคคลอื่น ๆ เพราะเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา อยู่แล้ว ถ้าผู้มีคุณวุฒิไปแสดงความเคารพด้วยการกราบแล้ว ผู้ได้รับการเคารพ จะมีโทษทั้งภพนี้ และภพหน้า กระทำเพียงอัญชลี (ไหว้) เท่านั้น เช่นในเรื่องจันทกุมาร ในขณะที่พระโพธิสัตว์ ทรงพบกับพระราชบิดานอกเมือง ซึ่งถูกประชาชนเนรเทศให้ออกไป พระโพธิสัตว์ก็มิได้ทรงกราบแต่อย่างใด เพียงแต่ทรงกระทำอัญชลี เท่านั้น
 
อานิสงส์ของอปจายนะ (การเคารพนอบน้อม)
๑. ทำให้เป็นผู้มีความรู้ ความฉลาดในธรรม
๒. มีอายุยืน และมีผิวพรรณงดงาม
๓. มีความสุขกายสุขใจ
๔. มีเกียรติยศชื่อเสียง
๕. มีกำลังกายและกำลังปัญญา
๖. เมื่อจากโลกนี้ย่อมไปสู่สุคติ
 
๕. เวยยาวัจจะ (การช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ)
เวยยาวัจจะ ได้แก่ การช่วยเหลือในกิจการงาน ที่เกี่ยวกับกุศลต่าง ๆ หรือ การช่วยเหลือทำการงานต่าง ๆ ที่ไม่มีโทษ งานที่เกี่ยวกับกุศล เช่น ปริยัติ ปฏิบัติ การบริจาคทาน การปฏิสังขรณ์ การทำความสะอาดวัดวาอาราม ปูชนียสถานงานอื่น ๆ ที่เป็นงานทางโลก ที่ไม่มีโทษ เช่น เป็นงานของ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง บุตร ธิดา จัดเข้าเป็นเวยยาวัจจะทั้งหมด
 
๖. ปัตติทาน (การอุทิศส่วนกุศล)
ปัตติทาน คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ญาติ พี่น้อง และ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว อันได้แก่เจตนาที่อยู่ในมหากุศลจิต ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศล ที่เราได้กระทำมาแล้ว มีการบริจาคทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา เมื่อได้อุทิศให้แล้ว มิใช่จะลดน้อยถอยลงหรือหมดไป มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ อุปมาเหมือนการต่อแสงเทียนไปเรื่อย ๆ เป็นร้อยเป็นพันเล่ม แสงเทียนที่เทียนเล่มแรก ก็ยังไม่ดับหรือหมดไปแต่อย่างใด แต่แสงเทียนที่เกิดจากการต่อเทียนไปเป็นจำนวนมาก กลับจะทำให้เกิดความสว่างไสวยิ่งขึ้น
 
๗. ปัตตานุโมทนา (การอนุโมทนาบุญ)
คือ การน้อมรับส่วนบุญที่อุทิศให้ อันได้แก่ บุญกุศลที่คนทั้งหลายได้ทำแล้ว มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้นแล้วอุทิศให้แก่คนอื่น ๆ จะโดยกล่าวให้ด้วยวาจา หรือเขียนเป็นตัวอักษรก็ตาม จิตของบุคคลผู้รับเกิดความโสมนัสขึ้น แล้วกล่าวคำว่า สาธุ ย่อมสำเร็จเป็นกุศลปัตตานุโมทนาแล้ว หรือ การยินดีในบุญที่ บุคคลอื่นได้ทำสำเร็จแล้ว เช่น การเห็นบุคคลอื่นเขากำลังทำบุญกุศลอยู่ หรือเห็นปูชนียสถาน ที่เป็นวัตถุก่อสร้างจารึกชื่อผู้สร้างอุทิศถวายแล้ว เกิดปีติโสมนัส ขึ้นมาได้เปล่งวาจาสาธุ อนุโมทนาบุญกับเขา ก็ได้ชื่อว่า เป็นปัตตานุโมทนา
 
          ในสมัยพุทธกาล เปรตซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ได้พากันส่งเสียงร้องโหยหวน เพราะพระเจ้าพิมพิสาร ไม่ได้แผ่ส่วนบุญไปให้ ในสมัยที่ได้สร้างวัดเวฬุวันถวาย แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงบอกให้อุทิศส่วนบุญกุศล ไปยังญาติทั้งหลายเหล่านั้น เปรตซึ่งอดีตเคยเป็นญาติ กับพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อได้รับบุญกุศลแล้ว ก็พ้นจากความเป็นเปรต
 
          การกล่าวคำแผ่บุญกุศล ชนิดเจาะจงให้ผู้รับ คือ “ อิทํ เม ปุญฺญํ มาตาปิตุอาจริยญาติมิตฺตานํ เทมิ ฯ ” แปลว่า ขออุทิศการกระทำบุญที่เกี่ยวกับ ทาน ศีล ภาวนา ของข้าพเจ้าให้แก่ บิดา มาดา ครู อาจารย์ ญาติ มิตรทั้งหลาย ด้วยเทอญ
 
          การกล่าวคำแผ่บุญกุศลชนิด ไม่เจาะจงให้ผู้รับ คือ “ อิทํ เม ปุญภาคํ สพฺพสตฺตานํ เทมิ ” แปลว่า ขออุทิศการกระทำบุญที่เกี่ยวกับ ทาน ศีล ภาวนา ของข้าพเจ้าให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยกันทั้งหมดเทอญ
 
๘. ธัมมัสสวนะ (การฟังธรรม)
ธัมมัสสวนะ คือ การฟังธรรม ได้แก่ การฟังธรรมในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่วัดหรือสถานที่ ที่จัดให้มีการบรรยายธรรม ทางวิทยุ หรือ โทรทัศน์ ก็ได้ชื่อว่า เป็น การฟังธรรมทั้งสิ้น
 
การฟังธรรม มี ๒ ประการ
 
๑. การฟังธรรมเพื่อให้คนทั้งหลายชื่นชม
ว่าเป็นคนดีมีศรัทธา เป็นคนธัมมะธัมโมเป็นการฟังที่มิได้ เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาที่แท้จริง มีกิเลสซ่อนเร้นอยู่ ย่อมจะมีผลน้อย อานิสงส์น้อย
 
๒. การฟังธรรมที่ทำให้จิตใจอ่อนโยน
มีสติปัญญา รู้จักบุญรู้จักบาป รู้จักคุณหรือโทษ และสิ่งที่เป็น ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ การฟังธรรมชนิดนี้เป็น ธัมมัสสวนกุศลอย่างแท้จริง ซึ่งมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
 
๙. ธรรมเทศนา (การแสดงธรรม)
คือ การแสดงธรรม การบรรยายธรรม การสอนธรรม รวมถึงแนะนำชี้แจง วิชาการต่าง ๆ ที่ไม่มีโทษ ก็สงเคราะห์เข้าในธรรมเทศนาด้วย
 
วิชาการที่ไม่มีโทษ ท่านแสดงไว้ได้แก่วิชา
การขี่ช้าง ขี่ม้า ขับรถ เป็นต้น ………..พวกหนึ่ง
กสิกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม หัตถกรรม เป็นต้น……พวกหนึ่ง และ
เศรษฐศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไสยศาสตร์ ……อีกพวกหนึ่ง
          พระภิกษุ สามเณร สอนวิชาพวกนี้ไม่ได้มีโทษต้องอาบัติ เป็นวิชาชีพที่ปราศจากโทษ สำหรับคฤหัสถ์เท่านั้น
 
การแสดงธรรมที่ได้บุญมากอานิสงส์มาก
          การแสดงธรรมที่ได้บุญมากอานิสงส์มากนั้น เป็นการแสดงธรรม ที่ใช้ความรู้ความชำนาญของตน โดยไม่ได้มุ่งหวังในลาภยศแต่อย่างใด มุ่งมั่นแต่จะให้สำเร็จประโยชน์ คือมรรคผลนิพพานอย่างเดียว การแสดงธรรมเช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็น บุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยธรรมเทศนามัยกุศล ที่แท้จริง
 
การแสดงธรรมที่ได้บุญน้อยอานิสงส์น้อย
          การแสดงธรรมที่ได้บุญน้อยอานิสงส์น้อยนั้น คือ การแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังในเรื่องลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ เพื่อให้คนรู้ว่าเป็นธัมมกถึก ครูอาจารย์ นับว่าไม่ใช่เป็นการแสดงธรรมอย่างแท้จริง มีกิเลสแอบแฝงอยู่ ย่อมจะได้บุญน้อยอานิสงส์น้อย
 
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม (ทำความเห็นให้ตรง)
ทิฏฐุชุกรรม คือ การกระทำความเห็นให้ตรงกับความเป็นจริง ได้แก่ กัมมัสสกตาญาณ คือ ปัญญาที่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตนเอง จะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น
 
ธรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมัสสกตาญาณ มี ๓ ประการ
          
๑. สุตมยปัญญา
คือ ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนในเรื่องของ ภูมิ ปฏิสนธิ กรรม และ กิเลส เป็นต้น
 
๒. จินตามยปัญญา
คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา ในความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย เกี่ยวกับความ มีโรค ความไม่มีโรค ความโง่ ความฉลาด ความสุข ความทุกข์ อายุสั้น อายุยืน เหล่านี้เป็นต้น
 
๓. ภาวนามยปัญญา
คือ ปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา เป็นปัจจัยให้เกิด กัมมัสสกตาญาณ มีการเห็นนามรูป พร้อมทั้งปัจจัยของนามรูป เป็นต้น
 
          ถ้าจะกล่าวโดยความเป็นเหตุและเป็นผลแล้ว ปัญญาแบ่งได้เป็น ๒ คือ ปัญญาที่เป็นเหตุ และปัญญาที่เป็นผล คือ
 
 
          แม้ว่าคนเราจะยังไม่สามารถที่จะละความเห็นผิดว่า เป็นเราเป็นเขา (สักกายทิฏฐิ) เห็นว่าของเรา ของเขา ได้ก็ตาม แต่ถ้ามีความเห็นตรงตาม ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้ ก็ชื่อว่ามีกัมมัสสกตาญาณ เป็น ทิฏฐุชุกรรม คือ เห็นถูกต้องตรงความเป็นจริง
 
 
ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ประการ
๑. เห็นว่า การทำบุญ ย่อมได้รับ ผลของบุญ คือ ผลดีมีประโยชน์
๒. " การบูชา ” ผลของการบูชา คือ ผลดีมีประโยชน์
๓. " การเชื้อเชิญต้อนรับ ” ผลของการเชื้อเชิญต้อนรับ
๔. " การทำดีทำชั่ว ” ผลของการทำดีทำชั่ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
๕. " ภพนี้ โลกนี้ (ปัจจุบัน) มีเพราะมีการเกิด
๖. " ภพหน้าโลกหน้า มีเพราะคนตายแล้วมีกิเลส ต้องเกิดอีกในโลกหน้า
๗. " การทำดีทำชั่วต่อมารดา จะต้องได้รับผลดี หรือผลชั่วในอนาคต
๘. " การทำดีทำชั่วต่อบิดา จะต้องได้รับผลด ีหรือผลชั่วในอนาคต
๙. " สัตว์ที่เกิดแล้วเติบโตขึ้นทันที คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม มีจริง
๑๐. " ผู้รู้แจ้งโลกนี้และโลกหน้า สามารถชี้แจงให้เห็นจริงได้นั้นมี และผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพานนั้นก็มี
 
          เมื่อสำรวจตนเองแล้ว เห็นว่ามีความเห็นตรงครบถ้วนทั้ง ๑๐ ประการ ก็ชื่อว่า เป็นผู้มีความเห็นตรง ตามความเป็นจริง คือเป็นผู้มี ทิฏฐุชุกรรม ควรจะได้อบรมศึกษา ในด้านปริยัติและปฏิบัติ เพื่อปรับปรุงแก้ไขความเห็นของตน ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
 
          ถ้าสำรวจแล้วมีความเห็นตรงไม่ครบทั้ง ๑๐ ประการ ก็แสดงว่า เรายังขาดการศึกษาเล่าเรียน การสดับตรับฟัง ขาดการใคร่ครวญนึกคิดพิจารณา และยังขาดการปฏิบัติที่ถูกต้อง คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
 
 
          สรุป เหตุผลในการสงเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ลงใน ทาน ศีล ภาวนา
 
          การสงเคราะห์ปัตติทาน และปัตตานุโมทนา ลงในทาน มีดังนี้
ทาน คือ การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ และ
ปัตติทาน คือ การอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลอื่น
ถ้าจิตมีความหวงแหนทรัพย์สมบัติ หรือคุณความดีของตน ก็ไม่สามารถที่จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลอื่นได้
ส่วน ปัตตานุโมทนา คือ การน้อมรับส่วนบุญที่เขาอุทิศให้
ถ้าจิตมีความไม่พอใจในทรัพย์ หรือคุณความดีของผู้อื่น ก็ไม่สามารถที่จะน้อมรับส่วนบุญ ที่เขาอุทิศให้ได้ด้วยเหตุนี้ จึงสงเคราะห์ ปัตติทาน และ ปัตตานุโมทนา เข้าใน ทานกุศล
          การสงเคราะห์ อปจายนะ และ เวยยาวัจจะ ลงในศีล ดังนี้
อปจายนะ คือการประพฤติเคารพอ่อนน้อม และ
เวยยาวัจจะ คือ การช่วยเหลือ ในกิจการต่าง ๆ ทั้งสองประเภทนี้ คือ ความประพฤติอันดีงาม ของคฤหัสถ์และบรรพชิต จัดเป็นจาริตตศีล คือ ศีลที่สำเร็จด้วยการปฏิบัติ จึงสงเคราะห์เข้าใน ศีลกุศล
          การสงเคราะห์ ธัมมัสสวนะ ธรรมเทศนา และ ทิฏฐุชุกรรม ลงในภาวนากุศล
          เพราะทั้ง ๓ ประการนี้ย่อมเกื้อกูล แก่ความสงบและปัญญา เหมือนกับการ เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน เหตุนี้จึง สงเคราะห์ไว้ใน ภาวนากุศล

รูปาวจรกุศลกรรม

          รูปาวจรกุศลกรรม คนบางคนมีอัธยาศัยชอบความสงบ จึงขวนขวายมุ่งไปในการทำสมาธิ คิดว่าการทำสมาธิ หรือการทำฌานนั้นให้ความสงบสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่ประณีตกว่า การทำบุญทำกุศลที่เป็นกามาวจรกุศลกรรม เพราะทำได้โดยทางใจ (มโนกรรม) ไม่ต้องขวนขวายไปทำทางกาย และทางวาจาเหมือนอย่าง กามาวจรกุศลกรรม
          
          การเจริญรูปาวจรกุศลกรรมนั้น จัดเป็นภาวนามัย เป็นการเจริญสมถกรรมฐาน ที่มีกรรมฐาน ๒๖ เป็นอารมณ์ โดยการกำหนดจิต ให้แนบแน่นอยู่กับอารมณ์ ที่เป็นตัวกรรมฐาน เพื่อให้รูปาวจรกุศลคือ ฌาน เกิดขึ้น
          
        อารมณ์ของสมถกรรมฐาน มีทั้งหมด ๔๐ คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ และอรูปกรรมฐาน ๔ รวมเป็นสมถกรรมฐาน ๔๐ แต่จะเป็นกรรมฐานให้เกิดฌานขึ้นได้นั้นมี ๓๐ เท่านั้น จะได้ศึกษาในรายละเอียดในโอกาสต่อไป
          
          เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ใดปฏิบัติถึงฌานหรือไม่ถึงฌาน พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักให้ทราบไว้ดังนี้
 
ผลของรูปาวจรกุศลกรรม
 
          ผู้ที่ได้รูปาวจรกุศล ๕ แล้ว รูปาวจรวิบาก ๕ ย่อมปรากฏขึ้นตามลำดับ แล้วจะทำหน้าที่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ คือนำเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ ต่อไป
 
         ผู้ได้ฌานที่ ๑ คือรูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต เมื่อขณะตายลงฌานยังไม่เสื่อม รูปาวจรปฐมฌานวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นพรหมได้ ๓ ชั้น คือ ปาริสัชชา ปุโรหิตา และ มหาพรหมมา ตามกำลังของฌานที่ได้คือ มีกำลังอ่อน มีกำลังปานกลาง และมีกำลังแก่กล้า เรียกว่า ปฐมฌานภูมิ ๓

 

 
          ในปฐมฌานภูมิทั้ง ๓ นี้ มิได้ตั้งอยู่เป็นชั้น ๆ สูงขึ้นไป แต่ตั้งอยู่ในพื้นระดับเดียวกัน ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ ห่างจากชั้นกามาวจรภูมิคือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ ประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ ก.ม.) ซึ่งมีวิมาน สวนดอกไม้ สระโบกขรณี อันล้วนประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ อันประณีต มีรัศมีสวยงามยิ่งนัก
 
          พรหมปาริสัชชา มีอายุยืนยาวนาน ๑/๓ มหากัปป์ พรหมปุโรหิตา อายุยืนยาวนาน ๑/๒ มหากัปป์ และ มหาพรหมมา มีอายุยืนยาวนาน ๑ มหากัปป์ (โปรดดูแผนภูมิ ๓๑ ภูมิ อยู่ในชุดก่อน ๆ ประกอบ)
          
          คำว่า มหากัปป์ ท่านให้คำอุปมาไว้ว่า มีพระนครแห่งหนึ่ง มีกำแพงสูง ๑๐๐ โยชน์ ยาวด้านละ ๑๐๐ โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดเต็มพื้นที่นั้น เมื่อครบ ๑๐๐ ปี หยิบเมล็ดผักกาดออก ๑ เมล็ด อีก ๑๐๐ ปี ก็หยิบออกอีกเมล็ดหนึ่ง ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดหมด เรียกว่า ๑ มหากัปป์ จึงเป็นเวลาที่นานแสนนาน
 
          การเกิดเป็นพรหมเท่ากับเป็นการดองภพดองชาติ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียง ๑ หรือ ๒ ชาติ ก็จะสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสไปได้ ฉะนั้นการเกิดเป็นพรหมก็เหมือนกับการนอนหลับที่ยืนยาวนานนั่นเอง
 
          ผู้ได้ฌานที่ ๒ คือ รูปาวจรทุติยฌานกุศลจิต และ ฌานที่ ๓ คือ รูปาวจรตติยฌานกุศลจิตเมื่อขณะตายลงฌานยังไม่เสื่อม รูปาวจรทุติยฌานวิบากจิต และ รูปาวจรตติยฌานวิบากจิต จะไปนำเกิด ปฏิสนธิเป็นพรหมได้ ๓ ชั้น คือ ปริตตาภา อัปปมานาภา อาภัสรา ตามกำลังของฌานที่ได้คือ ฌานที่มีกำลังอ่อน มีกำลังปานกลาง และมีกำลังแก่กล้า เรียกว่า ทุติยฌานภูมิ ๓ เป็นพรหมที่มีอายุยาวนาน ๒ มหากัปป์ ๔ มหากัปป์ และ ๘ มหากัปป์ ตามลำดับ
 
          ผู้ได้ฌานที่ ๔ คือ รูปาวจรจตุตถฌานกุศลจิตเมื่อขณะตายลงฌานยังไม่เสื่อม รูปาวจรจตุตถฌานวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นพรหมได้ ๓ ชั้น คือ ปริตตสุภา อัปปมานสุภา สุภกิณหา
ด้วยอำนาจของฌานที่มีกำลังอ่อน มีปานกลาง และมีแก่กล้า เรียกว่า ตติยฌานภูมิ ๓ เป็นพรหมที่มีอายุยาวนาน ๑๖ มหากัปป์ ๓๒ มหากัปป์ และ ๖๔ มหากัปป์ ตามลำดับ
 
          ผู้ได้ฌานที่ ๕ คือ รูปาวจรปัญจมฌานกุศลจิตเมื่อขณะตายลงฌานยังไม่เสื่อม รูปาวจรปัญจมฌานวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นพรหมได้ ๗ ชั้น คือ เวหัปผลา อสัญญสัตตา เป็นพรหมทีมีอายุยาวนาน ๕๐๐ มหากัปป์ และ สุทธาวาส ๕ สำหรับผู้ที่สำเร็จเป็น พระอนาคามี แล้ว จึงจะไปเกิดเป็นสุทธาวาสพรหม ๕ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และ อกนิฏฐา ด้วยอำนาจความแรงกล้าแห่งอินทรีย์ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ตามลำดับ
 
 
ทิพยสมบัติของพรหม
 
          ผู้ที่ไปเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานที่ตนได้ จะเสวยทิพยสมบัติแห่งความเป็นพรหม คือ มีอายุยืนยาวนานเป็นมหากัปป์ มีวิมาน มีสวนดอกไม้ มีสระโบกขรณี และเครื่องทรงอลงกรณ์ต่าง ๆ สวยสดงดงามประณีต และสวยสดงดงามกว่าทิพยสมบัติของเทวดาทั้งหลาย
 
          คนบางคนเมื่อได้เกิดเป็นพรหมเป็นรูปพรหม ๑๖ ชั้น ดังกล่าวแล้ว ก็หาพอใจในฌาน หรือในทิพยสมบัติของตนที่มีอยู่ไม่ ต้องการไขว่คว้าหาความสุข ที่ประณีตยิ่งขึ้น โดยการเจริญ อรูปาวจรกุศลต่อไปอีก มีรายละเอียดดังนี้

อรูปาวจรกุศลกรรม

          อรูปาวจรกุศลกรรม หมายถึง ผู้เจริญรูปาวจรกุศล จนถึงปัญจมฌานแล้ว ปรารถนาจะเจริญฌานให้ยิ่งขึ้นไป ต้องมาเจริญในอรูปกัมมัฏฐานต่อ ตั้งแต่อากาสานัญจายตนฌานกุศล จนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนฌานกุศล ซึ่งเป็นการเจริญให้เกิดขึ้นทางใจ เป็นภาวนามัย เช่นเดียวกับรูปาวจรกุศลกรรม แต่ต่างกันที่อารมณ์ของฌาน ที่มีความสุขุมละเอียดอ่อนกว่า มี ๔ ดวง แต่ละดวง มีองค์ฌาน ๒ เหมือนกัน คือ อุเบกขา และเอกัคคตา แต่มีอารมณ์ต่างกัน คือ
          
ดวงที่ ๑ อากาสานัญจายตนกุศลกรรม มี กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติ เป็นอารมณ์
ดวงที่ ๒ วิญญานัญจายตนกุศลกรรม มี อากาสานัญจายตนกุศลกรรม เป็นอารมณ์
ดวงที่ ๓ อากิญจัญญายตนกุศลกรรม มี นัตถิภาวบัญญัติ เป็นอารมณ์
ดวงที่ ๔ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลกรรม มี อากิญจัญญายตนกุศลกรรม เป็นอารมณ์
รายละเอียดจะได้ศึกษากันในโอกาสต่อไป
          
ผลของอรูปาวจรกุศลกรรม
          
          ผู้ที่ได้เจริญอรูปาวจรกุศล ๔ แล้ว จะให้ผลเป็น อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง ซึ่งจะทำหน้าที่ปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ เป็นอรูปพรหม ในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไปถ้าในขณะจะสิ้นชีวิตและฌานที่ได้นั้นยังไม่เสื่อม

 

          
          ผู้ได้อรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนกุศลเมื่อสิ้นชีวิตลง อากาสานัญจายตนวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นอรูปพรหม ชั้นที่ ๑ ในอากาสานัญจายตนภูมิ เป็นอรูปพรหมที่มีแต่นามขันธ์ ๔ ไม่มีรูปขันธ์ ด้วยอำนาจของการเจริญอรูปวิราคภาวนา มีอายุยืนยาวนาน ถึง ๒๐,๐๐๐ มหากัปป์
          
          ผู้ได้อรูปฌานที่ ๒ คือ วิญญานัญจายตนกุศล เมื่อสิ้นชีวิตลง วิญญานัญจายตนวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นอรูปพรหม ชั้นที่ ๒ ใน วิญญานัญจายตนภูมิ เป็นอรูปพรหมที่มีแต่นามขันธ์ ๔ ไม่มีรูปขันธ์ ด้วยอำนาจแห่งอรูปวิราคภาวนา มีอายุยืนยาวนาน ถึง ๔๐,๐๐๐ มหากัปป์
          
         ผู้ได้อรูปฌานที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนกุศล เมื่อสิ้นชีวิตลง อากิญจัญญายตนวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นอรูปพรหม ชั้นที่ ๓ ใน อากิญจัญญายตนภูมิ เป็นอรูปพรหมที่มีแต่นามขันธ์ ๔ ไม่มีรูปขันธ์ ด้วยอำนาจแห่งอรูปวิราคภาวนา มีอายุยืนยาวนาน ถึง ๖๐,๐๐๐ มหากัปป์
          
          ผู้ได้อรูปฌานที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลเมื่อสิ้นชีวิตลง เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิต จะนำเกิดปฏิสนธิเป็นอรูปพรหม ชั้นที่ ๔ ใน เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เป็นอรูปพรหมที่มีแต่นามขันธ์ ๔ ไม่มีรูปขันธ์ ด้วยอำนาจแห่งอรูปวิราคภาวนา มีอายุยืนยาวนาน ถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัปป์
          
จบตอนที่ ๗   ชุดที่ ๑   เรื่องกรรมและผลของกรรม

<<<<               >>>>